สวัสดีค่าาา
วันนี้มาเขียน Blog แบบมีสาระนิดนึงงงงให้อ่านกันอีกแล้ว
(แสดงว่าที่ผ่านมาเขียนไม่มีสาระใช่มั้ยยย??? ฮ่าๆๆ) คือช่วงที่ผ่านมามีน้องๆ
หลายคนถามกันเกี่ยวกับ “เรื่องเรียนภาษาอังกฤษ, หาที่เรียนพิเศษ, การฝึกภาษาอังกฤษ,
การเตรียมตัวก่อนไปเรียนต่างประเทศ” วันนี้ออนเลยคิดว่าออนน่าจะเขียน Blog
ให้อ่านกัน เพื่อเป็นการเล่าประสบการณ์ตรงสำหรับคนที่อยากอ่าน อยากศึกษาหาข้อมูล
จากตรงนี้เลย มาเริ่มกันก่อนตั้งแต่ …
1. เป็นคนชอบภาษาอังกฤษ
ก่อนอื่นเลย การที่เราจะทำอะไรได้ดี หรือประสบความสำเร็จในสิ่งนั้นๆ
ต้องเกิดจากความพยายาม และความชอบ เพราะส่วนมาก ถ้าคนเราไม่ชอบอะไร
เราก้จะไม่ใส่ใจ ไม่ขวนขวาย ไม่พยายามที่จะทำ ไม่พยายามที่จะเรียนรู้ในสิ่งนั้น
ซึ่งสำหรับออน ตั้งแต่เด็กๆแล้ว วิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่คะแนนดีที่สุด
ตอนนั้นสมัยประถม คะแนนจะอยู่ที่ 85%-90% ตลอด ส่วนวิชาอื่นๆนี่คะแนนร่วง
โดยเฉพาะเลขนี่คือเฉียดฉิวที่จะไม่ผ่านมากๆ ดังนั้นออนเลยรู้สึกว่ามันเป็นวิชาที่เรา
ทำได้ดี เหมือนมีหัวตรงนี้ ความชอบต่างๆมันเลยเพิ่มขึ้น เวลาเข้าเรียนภาษาอังกฤษ
ตั้งแต่ ป.1 ก็จะตั้งใจเรียนกว่าวิชาอื่นๆ ทำการบ้านส่งตลอด มีงานอะไรให้ทำก็จะทำ
แบบเต็มใจทำ ในขณะที่วิชาอื่นก็จะส่งช้าบ้าง ลอกเพื่อนบ้าง หรือทำหลังสุด
2. เรียนพิเศษกับคุณครูที่เป็นคนอังกฤษโดยตรง
เนื่องจากที่บ้านออนทำธุรกิจ และผู้ใหญ่ที่บ้านไม่ว่าจะคุณพ่อ คุณแม่ คุณลุง คุณป้า
ลูกพี่ลูกน้อง เรียนต่างประเทศกันมาหมด ทำให้เค้าเห็นความสำคัญของการปูพื้นฐาน
ภาษาอังกฤษ เพราะสมัยตอนพวกเค้าเรียน การที่คนพูดอังกฤษได้ สามารถบินไปเรียน
ต่อที่อังกฤษ หรือเมกาได้นี่แบบว่าสุดยอด และสิ่งเหล่านี้ทำให้เค้าประสบความสำเร็จ
ในหน้าที่การงาน ธุรกิจที่ทำ เค้าเลยเตรียมพร้อมมาให้ออน ซึ่งถือว่าออนโชคดีมาก
ที่มีผู้ใหญ่ที่บ้านสนับสนุน และผลักดันให้เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ตอนเล็กๆ
ที่บ้านจ้างคุณครูที่เป็นคนอังกฤษมาสอนที่บ้าน แบบ Private Class คือตัวต่อตัวเลย
เรียนอาทิตย์ละ 3 ชั่วโมง โดยจะเน้นเป็นการพูดโต้ตอบกัน เพื่อให้ออนไม่เขินอาย
กับการที่ต้องสื่อสารกับฝรั่ง, เริ่มชินสำเนียงฝรั่ง, เริ่มกล้าที่จะออกเสียงตามเค้า,
เวลาที่เราพูดออกเสียงผิด เค้าก็จะบอกเรา และสอนวิธีการออกเสียง เช่นการม้วน
ลิ้น ห่อลิ้น กัดฟัน ฯลฯ ออนเรียนกับคุณครูที่เป็นคนอังกฤษตั้งแต่ ป.4 ถึง ป.6 ก็
เป็นเวลา 3 ปีเต็มๆ ซึ่งครูอังกฤษคนนี้เป็นครูสอนที่มีคุณภาพมาก สอนเด็กไทยที่เรียน
ตามโรงเรียนนานาชาติทั้งนั้น สมัยนั้นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เรียนชั่วโมงละ 500 บาท
ครั้งนึง 1,500 บาท นี่สุดยอดแล้ว เพราะจำได้ว่าเรียนกับครูไทยนี่ 2 ชั่วโมง 300 บาทได้
3. ไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศช่วงปิดเทอม
คุณแม่ออนเริ่มคิดว่าถ้าจะไปเรียนต่อช่วง High School ภาษาออนจะต้องแข็งกว่านี้
และออนควรจะต้องชินกับประเทศก่อนไป ดังนั้นช่วงปิดเทอม ป.6 – ม.2 ที่เป็นปิดเทอม
ใหญ่ ออนก็จะบินไปเรียนโรงเรียนภาษา ซึ่งประเทศที่เลือกไปคือออสเตรเลีย เพราะ
ตอนนั้นออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์กำลังฮิตมากกก เหมือนกับว่าจะไปเรียนต่อ ต้อง
ไปเรียนสองประเทศนี้เท่านั้น (ตอนนั้นอังกฤษยังไม่บูมเลย) ซึ่งความโชคดีคือออนมี
คุณน้าอยู่ที่นั่น ทำให้คุณแม่อุ่นใจ ซึ่งการไปเรียนภาษาของออน ออนจะเรียนประมาณ
2 เดือน เป็นคอร์สยาวเลย โดยเรียนตั้งแต่ 9.00-15.00 ค่ะ คือเรียนจริงๆ เรียนทั้งวัน
ไม่ใช่แบบเรียนครึ่งเช้า แล้วปล่อยกลับบ้าน และที่สำคัญ ออนไม่ได้อยู่ในเมือง คือ
ไม่ได้อยู่ใน Sydney ออนอยู่ห่างนอกตัวเมืองออกมา ในเมืองเล็กๆ ชั่วโมงกว่า ทำให้
ไม่มีคนไทยเท่าไหร่ในเมืองนั้น และออนเป็นคนไทยคนเดียวในโรงเรียนภาษา ออนเลย
ได้พูดคุย ฝึกภาษาเต็มที่
อันนี้แอบอยากเล่าว่าสิ่งที่ภูมิใจคือ หลังจากที่ออนเล่าตั้งแต่แรกว่าออนชอบ
เรียนภาษาอังกฤษ ออนเรียน Private Class กับคุณครูฝรั่ง และสิ่งนี้มันก็เห็นผลจริงๆ
เมื่อออนมาสอบวัดระดับเข้าห้องเรียนภาษา ซึ่งที่โรงเรียนจะแบ่งเป็น
Yellow Class = สำหรับเด็กอายุไม่ถึง 15
Level 2 = สำหรับคนอ่อนภาษาอังกฤษ พวกนี้ก็เตรียมเข้า High School เหมือนกัน
Level 3 = สำหรับคนภาษาอังกฤษกลางๆ ส่วนมากพวกนี้จะเตรียมเข้า High School
Level 4 = สำหรับคนที่เก่งๆ อารมณ์แบบเตรียมเข้ามหาลัย
ซึ่งตอนที่ออนไปคือ ป.6 อายุประมาณ 12-13 จริงๆตามเกณฑ์ต้องอยู่ Yellow Class
แต่เค้าบอกว่าระดับภาษาออนดี เลยให้อยู่ Level 3 เลย ซึึ่งเกือบจะสูงสุด เพราะ
Level 4 มีเด็กเรียนแค่ 3-4 คนเท่านั้น เป็นเด็กเตรียมเข้ามหาลัย แต่ออนอายุ 12-13
แล้วได้อยู่ห้องเกือบสูงสุด เรียนพร้อมกับเด็กเตรียมเข้า High School และพี่ๆในห้อง
ที่เรียนด้วยกัน เป็นต่างชาติหมดทุกคนก็จะบอกว่าออนพูดชัดกว่าคนอื่น กล้าพูด
เวลาอาจารย์ถามตอบอะไรก็จะเข้าใจ ไม่ต้องให้อาจารย์พูดช้าๆ หรือถามย้ำ
ปลื้มมมมมมม!!
4. ไปเรียนต่อ High School
พอออนจบ ม.3 ปุ้บ จบได้ 2 วันก็บินไปเรียนต่อที่นั่นเลย โดยที่ไม่ต้องเรียนภาษาซ้ำ
อีก 6 เดือน – 1 ปี เพราะส่วนมากคนที่ไปเรียนต่อที่นู่น จะต้องเรียนภาษาซ้ำก่อน ไม่งั้น
โรงเรียนจะไม่รับ ซึ่งก็จะเท่ากับว่าเราจะจบช้าไป 1 ปี ถ้าหากกลับมาเข้ามหาลัยที่ไทย
คุณแม่กับคุณน้าไปคุยกับทางโรงเรียนว่าระยะเวลาที่ออนเคยมาเรียนที่โรงเรียนภาษา
รวมทั้งหมดแล้วมัน 6 เดือนพอดี บวกกับ Level ภาษาอังกฤษของออนดีกว่าคนอื่น
ดังนั้นควรให้เข้าเลย ซึ่งคุณครูที่นั่นโอเค เห็นด้วย ออนเลยเข้าเรียน Year 10 เลย
ซึ่งอย่างที่บอกว่าโรงเรียนออนอยู่นอกเมือง เมืองออนคนไทยน้อย ออนเลย
เป็นคนไทยคนเดียวในโรงเรียน จุดนี้บอกเลยว่าเป็นประโยชน์มาก ตอนแรกยอมรับ
ว่าอึดอัด เพราะเราไม่ชินกับฝรั่ง ไม่ชินกับการพูด ประเพณี วัฒนธรรม นิสัยของเค้า
ร้องไห้ตอนพักกลางวันก็บ่อย โทรให้คุณน้ามารับกลับบ้านก็บ่อย เพราะเจอพวก
ฝรั่งผู้ชายพูดจากวนใส่ พูดจาแบบแกล้งใส่ ซึ่งออนมาจากหญิงล้วน ออนไม่ชิน
และไม่เคยเจอผู้ชายในเวอชั่นนี้ (ก็แหมม ดูแต่ซีรีเกาหลีตอนนั้น ก็จินตนาการ
วาดฝันไว้ซ้าาา ว่าผู้ชายเป็นงั้นเป็นงี้) พอมาเริ่มเรียนโรงเรียนที่มีผู้ชายด้วยครั้ง
แรกตอนอายุ 15 ถึงกับช็อกเลยทีเดียว เพราะมันไม่ใช่เลยยยยยย
จนเวลาผ่านไปเกือบๆปี ออนเริ่มชิน และปรับตัวได้ โดยเพื่อนที่ออน Hang Out
ด้วยก็จะเป็นฝรั่งหมด ซึ่งออนเป็นคนเอเซียคนเดียวในรุ่นที่ Hang Out อยู่กับพวก
ฝรั่ง เพราะที่เหลือจะเป็นจีนกับเกาหลี และเค้าก็จะเกาะกลุ่มกันเอง บวกกับมารยาท
ต่างๆ และความที่พวกเค้าไม่ปรับตัวเลย ทำให้ฝรั่งไม่ชอบ และไม่คิดจะคุยด้วย
แต่ออนชอบอาหารฝรั่งอยู่แล้ว ออนไม่ต้องปรับตัวอะไร เค้ากินอะไร เราก็กิน เราก็
ชอบ เค้าไปปาร์ตี้ เราก็ไป เค้าไปทะเล เราก็ไป ชีวิตชิวมาก และที่สำคัญการที่ออน
อยู่กับฝรั่งทุกวัน ทำให้ออนได้เรียนรู้ทั้งสำเนียง วิธีการพูด ศัพย์ใหม่ๆ การฟัง
ไปในตัวตลอดเวลา เหมือนกับเราจ้างคุณครูมาภาษาอังกฤษมาสอนตลอดเวลา
ซึ่งออนก็เรียนจนจบ Year 12 รวมเวลาอยู่ที่ออสเตรเลีย 3 ปีเต็มๆ
——————————————————————-
แต่ในสิ่งที่ออนเขียนไป ต้องพูดตรงๆว่าทางผู้ใหญ่ ครอบครัวออน ค่อนข้างเตรียม
ความพร้อมให้ออนตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งหลายๆครอบครัวอาจจะไม่ได้เตรียมตรงนี้ หรือ
ด้วยตัวเด็กเอง ที่ตอนแรกอาจจะไม่ได้ขวนขวสย หรือชอบเรียนภาษาอังกฤษ ทำให้
มองข้ามมา และอยากจะมาเริ่มตอนที่เริ่มเข้าม.ต้น หรือในส่วนของทุนทรัพย์ ที่ค่อน
ข้างสูงกับการเรียนพิเศษ ส่งไปเรียนภาษา ส่งไปเรียน High School เพราะใช้เงิน
เยอะมาก ไม่ว่าจะค่าเรียน ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าจุกจิก เพราะเป็นเด็ก
Overseas (เด็กต่างชาติ) ทุกอย่างจะแพงกว่า คนที่โน่นหลายเท่าตัวอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างค่าเรียน คนที่นู่นจ่ายค่าเรียนเทอมละ 5000$ ในกรณีที่เป็นเอกชน
และแทบจะฟรี ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ในกรณีที่เป็นรัฐบาล ซึ่งออนเรียนโรงเรียน
เอกชน เพราะคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ สังคม ฯลฯ มันดีกว่าแน่นอน ออนต้อง
จ่ายเทอมละ 15000$ และถ้าออนตัดสินใจเรียนรัฐบาล ออนก็ยังต้องจ่าย
7000$-10000$ หรือแม้กระทั่ง Bus Pass (บัตรขึ้นรถบัสสำหรับนักเรียนที่
จะต้องซื้อเป็นรายเทอม) เด็กที่นู่นเหมาะเทอมละ 10$-15$ ออนจ่ายอยู่ที่
เทอมละ 115$ บอกเลยว่าทุกอย่างมันแพงกว่ามากกกกก
ดังนั้นในกรณีที่ไม่ได้เตรียมตัวตั้งแต่เด็กๆ หรือไม่พร้อมที่จะจ่ายเยอะๆในเรื่อง
ของการเรียนเดี่ยว การไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ
1. คุณจะต้องขวนขวาย มีความพยายามที่จะอยากเรียนรู้ อยากหาความ
รู้เพิ่มเติม หรือฝึกฝนด้วยตนเอง เช่น การดูหนังฝรั่ง โดยไม่อ่าน Sub title,
การอ่านหนังสือการ์ตูน หรือนิยายวัยรุ่น จะช่วยให้เราได้เรียนรู้ศัพย์ใหม่ๆ
เรียนรู้วิธีการใช้คำพูดให้สวย และสามารถฟังเข้าใจได้มากขึ้น แต่เรื่องการ
พูดอาจจะค่อนข้างยาก เพราะเราไม่ได้มีโอกาสฝึกกับฝรั่งจริงๆ
2. ถ้าหากไม่สามารถไปเรียนพิเศษได้ ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ลองซื้อ
หนังสือที่มีพวกเซ็ตซีดีให้ฟังอะไรแบบนี้มาทำแบบฝึกหัด ตั้งใจไว้กับตัวเอง
เลยว่าอาทิตย์นึง ต้องฝึกกี่วัน วันละนานเท่าไหร่ อะไรแบบนี้ ทำแบบฝึกหัด
เสร็จและลองดูเฉลยดูค่ะ ทำซ้ำไปซ้ำมา จะพอช่วยได้บ้าง
3. ถ้ามีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะด้วยประเทศอะไรที่ใช้ภาษาอังกฤษ
แนะนำว่าใน 1 ปีนั้น ควรใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุด เพราะเวลาผ่านไปเร็วมากๆ
ควรทำกิจกรรมกับ Host family ให้เยอะๆ พูดคุยกับเค้าเยอะๆ ใช้เวลากับ
เค้าเยอะๆ เพราะ Host family จะช่วยให้การพูด การฟังภาษาอังกฤษของเรา
ดีชึ้นมาก เพราะส่วนมากเด็กแลกเปลี่ยนจะอยูนอกเมืองหมด ทำให้ไม่เจอ
คนไทย ไม่ได้สุงสิงอะไร อยู่แต่กับฝรั่ง และมีโอกาสที่จะได้ใช้ภาษามากกว่า
ออนมีฐาติที่ได้ไปแลกเปลี่ยนที่แคนาดามา 1 ปี ขอบอกว่าเค้าใช้เวลาคุ้มมาก
ถึงแม้สำเนียงยังไม่ได้มากมาย แต่เค้ารู้ศัพย์เยอะมาก และที่สำคัญเค้าสามรถ
เขียนอะไรต่างๆ โดยใช้ศัพย์สวยๆได้เลย สวยกว่าศัพย์ที่ออนรู้อีก (ออนจะอ่อน
เรื่องเขียน เรื่องอ่าน เพราะเป็นคนไม่อ่านหนังสือ และอยู่แต่กับฝรั่งเลยพูดคุย
อย่างเดียว ไม่ได้มานั่งเขียนอะไรมากมาย)
——————————————————————–
อันนี้พูดตรงๆเลยคือ ด้วยความที่ออนอยู่ออสเตรเลียมา 3 ปี และออน
เข้าเมืองบ่อย (เข้า Sydney บ่อย) ออนเห็นชีวิตเด็กไทย เด็กเอเซียที่นั่นแล้ว
แบบเอือม และสงสารแทนพ่อแม่มากๆ คือพ่อแม่ตั้งใจส่งลูกมาเรียนต่างประเทศ
เพื่อให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้ ปีนึงรวมแล้วจ่ายเงินกว่าล้านบาท หรือมากกว่านั้น
แต่พอเด็กอยู่ในไทย ก็จะจับกลุ่มกัน แบบกลุ่มเด็กไทย กลุ่มเด็กจีน กลุ่มเด็กเกาหลี
และกลายเป็นว่าพูดแต่ภาษาตัวเอง ไม่ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ ไม่มีการปรับตัวให้
เข้ากับสังคมของประเทศนั้นๆ ยังคงความเป็นประเทศตัวเอง คือไม่ยอมกินอาหารฝรั่ง
ยังต้องเอาอาหารกล่องมาอุ่นที่โรงเรียน (ทำห้องอุ่นอาหารเลอะเทอะ และเหม็น
เพราะกลิ่นซอส ซีอิ๊วต่างๆ ซึ่งฝรั่งดูถูกเลยตรงนี้) ยังคงไม่คิดที่จะพยายามคุยกับ
ฝรั่ง (ทั้งๆที่มาเรียนประเทศเค้า พ่อแม่จ่ายแพงๆ และอยู่กับชาติตัวเองต่อไป)
คือบอกเลยว่าถ้าคิดจะไปเรียนภาษา เรียนต่อในเมือง…ผลที่ได้รับแทบจะ
เป็นศูนย์ เพราะออนเห็นมาเยอะมาก แทบจะ 90% ของคนที่เรียนในเมือง อยู่มา
ระยะเวลาเท่าออน หรือบางคนนนานกว่าออน 4-5 ปี กลับพุดอังกฤษไม่ได้ พูด
ตะกุกตะกัก สำเนียงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน ไม่มีการพัฒนา ถ้าคิดจะเรียน
ในเมือง เพราะอยากเรียนภาษา พัฒนาภาษาอังกฤษ ขอให้คิดใหม่เลย ยิ่งถ้า
ไปตอนโต เช่น มอปลาย หรือมหาลัย ไม่มีทางได้อะไรกลับมา แต่ถ้าไปตั้งแต่
เล็กๆยังพอไหวอยู่ เพราะเราจะซึมซับมาบ้าง แต่ถ้าแค่คิดว่าจะไปเรียนเพื่อ
ให้วีซ่าผ่าน เพื่อจะทำงาน หาเงินที่นั่น อันนั้นก็แล้วแต่ค่ะ เพราะคนเอเซียขึ้น
ชื่อเรื่องโดดวีซ่า แอบไปทำงาน รับเงินใต้โต๊ะ เพื่อทำงาน หาเงินจากต่างประเทศ
กันสุดๆ ทำให้หลายๆประเทสเค้าไม่อยากให้วีซ่าคนไทย
แต่ถ้าใครอยากจะไปเรียนภาษา เพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษจริงๆ ขอแนะนำให้
เรียนนอกเมือง แบบห่างจากตัวเมืองเยอะๆ เรียนในเมืองเล็กๆ จะได้ประโยชน์
กว่าเยอะค่ะ ที่สำคัญค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าด้วย เพราะนอกเมืองไม่ค่อยมีอะไรมาก
สิ่งยั่วตายั่วใจก็น้อย ค่าใช้จ่ายก็ถูกลงไป
ออนมีเพื่อนที่สนิทกัน เค้าหน้าตาสวย เค้าหุ่นดี และเค้าสูงพอสำหรับการเป็น
แอร์โฮสเตส (นั่นคือหนี่งในอาชีพที่ออนอยากเป็นเลยแหละ แต่ออนสูงไม่ถึง
อาจจะติดตรงนี้) ซึ่งเค้ามีคุณสมบัติทุกอย่าง เพราะเค้าเป็นคนหน้าตายิ้มแย้ม
ชอบงานบริการ ชอบดุแลคน แต่สิ่งที่เค้าติดปัญหาคือ เค้าต้องไปสอบ TOEIC
เพื่อนำผลภาษาอังกฤษไปยื่น และเค้าไม่ชอบภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กๆ ทำให้
ไม่ได้สนใจเรียน ไม่เคยเรียนพิเศษ ไม่เคยไปเรียนต่างประเทศ ไม่เคยไปเรียน
ภาษา ระดับภาษาของเค้าค่อนข้างอ่อนมาก คือไวยากรณ์ผิดหมด พูดสื่อสาร
แบบงูๆปลาๆ เออๆออๆ สำเนียงติดลบ ซึ่งแน่นอนว่า TOEIC มีปัญหาแน่นอน
และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้โอกาสที่เค้ามี อาจจะหลุดไป เพียงเพราะภาษา
ออนอยากให้คนเห็นความสำคัญกับภาษาอังกฤษจริงๆ เพราะเพื่อนออน
ที่เรียนนานาชาติตั้งแต่เล็ก ชอบอ่านนิยายภาษาอังกฤษ ชอบพูดคุยกับ
คุณครูฝรั่ง ตอนเค้าอยู่ปี 2 มีหัวหน้าบริษัทใหญ่มาเสนอให้เค้าไปทำงาน
ด้วยตอนเรียนจบ และพอเค้าจบมาเค้าก็ได้งานบริษัทนั้นทันที และเงินเดือน
ที่เริ่มก็สูงกว่าเด็กที่จบปริญญาตรีทั่วไปอยู่หลายพัน โดยที่เค้าไม่มีเส้นอะไร
ทั้งสิ้น ซึ่งมันสำคัญจริงๆน้า มันมีผลต่ออนาคตการทำงานหลายๆอย่างเลย
วันนี้เขียนมายาวมาก
ฝากไว้เท่านี้นะคะ