สวัสดีค่ะสาวๆทุกคน
วันนี้ออนมาเขียน Blog ให้อ่านกัน ไม่ใช่เกี่ยวกับเครื่องสำอาง หรือสกินแคร์
แต่เป็นเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ออนเจอมากับตัวเองเมื่อ 1 ปีก่อนที่ผ่านมา
ซึ่งก็คือ “เนื้องอกที่รังไข่ด้านขวา”
โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงค่ะ หลายๆคนจะบอกว่าเกี่ยวกับเรื่องอาหาร
การกินที่ไม่ healthy บางคนบอกว่าเกี่ยวกับการกินเนื้อ แต่เวลาถามคุณหมอ
คุณหมอจะบอกว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นเอง ไม่ได้มีสาเหตุไหนเป็นสาเหตุหลัก สามารถ
เกิดขึ้นได้กับผู้หญิง หรือแฝงมาแบบเงียบๆ ซึ่งพอคุยกับคนหลายๆคน หลายคนก็
บอกกันว่าเพื่อนก็เป็น คนรู้จักก็เป็น ญาติก็เป็น ซึ่งอายุน้อยๆกันทั้งนั้น
ออนเลยคิดว่าออนอยากจะมาเขียนแชร์ประสบการณ์ที่ออนได้เจอ วิธีการรักษา
และเรื่องราวหลังจากการผ่าตัดให้สาวๆได้อ่านกัน เพื่อเป็นข้อมูล เป็นประโยชน์
สำหรับผู้หญิงเราด้วยกัน จะได้ดูแล ป้องกัน ให้ดีที่สุด หรือรู้จักวิธีสังเกตุค่ะ
ย้อนไปเมื่อ 1 ปีก่อน….
ตอนนั้นกำลังขับรถไปมหาลัยอยู่ และขยับตัวหาของในรถไปมา รู้สึกว่าปวดท้อง
ด้านขวาแบบตึงๆตั้งแต่เช้า ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงเที่ยงแล้ว ในใจก็คิดว่าเมื่อวันก่อนโน่น
อาจจะใส่ส้นสูงที่ไม่พอดีกับอุ้งเท้าเรา ทำให้เส้นมันเกิดอาการตึง และลามมาถึงท้อง
อะไรแบบนั้น ออนก็เล่าให้พี่โต้ฟังว่าปวดท้อง ซึ่งพี่โต้เค้าจะค่อนข้าง concern กับ
เรื่องสุขภาพมาก เพราะเค้ารู้ว่าออนไม่ชอบออกกำลังกาย และไม่กินผัก เค้าก็เลย
โวยวาย บอกว่าให้ออนบอกแม่เดี๋ยวนี้ ออนก็เลยโทรไปหาคุณแม่ กะเล่าขำๆถึงความ
เป็นห่วงอย่างรุนแรงของพี่โต้ แต่คุณแม่ดันจริงจังด้วย บอกให้ลองกดดูว่าเจ็บมั้ย
ออนก็เลยลองใช้นิ้วกดๆตรงท้องด้านขวาดู ปรากฏว่าเจ็บ ก็เลยบอกคุณแม่ไปว่า
กดแล้วเจ็บๆ แต่ไม่ได้มากมายอะไร คุณแม่ก็เลยกลัวว่าจะเป็นไส้ติ่ง และถ้าไส้ติ่ง
แตกก็จะยุ่งมาก เลยให้ไปหาหมอทันที
ออนก็เลยขับรถไปหาหมอที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เพราะที่นั่นมีหมอประจำ
และคุณตา คุณยาย คุณแม่ชอบหา ซึ่งก็โดนส่งไปตรวจภายใน, x-ray
และถ้าจำไม่ผิดต้องตรวจปัสสะวะด้วย ปรากฏผลที่ออกมาคือ ไม่ใช่ไส้ติ่ง
แต่คุณแม่บอกว่าเป็น Cyst (ซิ๊ด) ซึ่งอยู่ที่รังไข่ด้านขวา มีขนาดประมาณ
เกือบๆ 5 ซม (ถือว่าใหญ่อยู่ แต่ยังไม่มากมาย ถ้าใหญ่จริงๆคือ 7-10 ซม
อันนั้นเสี่ยงมากกกกก ที่จะบิด จะปวด จะแตก และต้องผ่าแบบกรีดหน้าท้อง)
ตอนที่คุณหมอบอกว่าเป็น Cyst เหวอ งง ตั้งตัวไม่ถูกเลย แต่คุณหมอยังดี
ที่บอกว่าให้กลับมาตรวจอีกครั้งหลังประจำเดือนหมด เพราะอาจจะเป็นเหมือน
ฟองอากาศที่ก่อตัวขึ้นมา ช่วงที่มีประจำเดือนก็ได้ ออนก็ใจชื้นขึ้นมานิดนึง
และไปตรวจอีก 2 ครั้งที่โรงพยาบาลรามา พรีเมี่ยมคลีนิก (ตึกพระเทพฯ)
เพราะคุณหมอที่ตรวจ เป็นคุณหมอที่ญาติออนที่เป็นหมอแนะนำมาอีกที
คุณหมอตรวจซ้ำกัน 2 ครั้ง (โดยระยะเวลาการตรวจแต่ละครั้งเว้นช่วง
ประมาณ 2-3 อาทิตย์) ก็ยังมีก้อนนี้อยู่ แม้ว่าประจำเดือนจะหมดแล้ว T__T”
ผลที่คุณหมอสรุปออกมาคือ .. ต้องผ่าเอาออก โดยสามารถผ่าตัดแบบส่อง
กล้องได้ เพราะการผ่าตัดแบบส่องกล้อง แผลจะเล็กมาก มี 3 จุด ขนาดจุดละ
1 ซม ทำให้ไม่ช้ำมาก พักฟื้นไม่นาน ที่สำคัญหน้าท้องยังสวยอยู่ ไม่เหมือนกับ
การผ่าตัดแบบกรีดหน้าท้อง ซึ่งการผ่าตัดแบบกรีดหน้าท้องนั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ
เป็นการผ่าตัดฉุกเฉินค่ะ ซึ่งคุณแม่ก็ตกลง และอยากให้ผ่า เพราะคุณหมอบอกว่า
ถ้าเก็บไว้ต่อไป ไม่ผ่าออก อยู่ไปนานๆ ขนาดอาจจะโตขึ้น ซึ่งถ้าโตขึ้นมาที่ 7-10 ซม
อาจจะมีการบิด ทำให้ปวดหนัก หรือต้องผ่าตัดกระทันหัน และนั่นจะต้องกรีดหน้าท้อง
และการที่ทิ้งไว้นานๆ อาจจะทำให้เป็นก้อนเนื้อร้ายได้อีกด้วย พอฟังแบบนี้ ออนเลย
รีบโอเคที่จะผ่าค่ะ
ทางโรงพยาบาลก็นัดวันทุกอย่างเรียบร้อย โดยผ่าช่วงเย็นคือ 6 โมงเย็น
ของวันที่ 31 ตุลาคม โดยออนต้องมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ช่วงเช้า ไม่เกิน 10 โมง
(จำไม่ได้ว่าต้องอดข้าวอดน้ำมั้ย แต่เหมือนจะต้องอด ไม่งั้นจะไม่ผลกับการผ่าตัด)
และออนก็นอนเล่นรออยู่ในห้อง จนถึงเวลาพยาบาลก็มารับตัวไปที่ห้อง ตอนนั้นกลัวมาก
ไม่เคยเข้าห้องผ่าตัดใหญ่ๆ น่ากลัวๆแบบนี้มาก่อน ซักพักจะมีหมอมาลมยาสลบ
เหมือนจะฉีดเข้าไป ซึ่งตรงนี้เจ็บสุด จำได้ว่าบ่นกับหมอว่าเจ็บๆ … และภาพก็ค่อยๆ
ลางหายไป และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเลย
จนกระทั่งมาได้ยินเสียงเตียงเข็นไปเข็นมา เสียงคนพูด เสียงคนเดิน
ออนเลยค่อยๆลืมตาขึ้นมา สรุปว่าผ่าตัดเสร็จแล้ว ออนยังลืมตาไม่สนิท ยังมึนยาสลบอยู่
แต่ตรงท้องนี่คือระบม และเจ็บมาก คือมันรู้สึกว่าตัวเราเบา แต่ท้องมันหนัก ระบม ขยับไม่ได้
ออนก็นอนนิ่งๆอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งพยาบาลมาเข็นรถไปที่ห้อง ดีใจมากที่ไปที่ห้อง
และเจอหน้าคุณแม่ พี่โต้ และเพื่อนสนิท เป็นคนแรก T____T” น้ำตาไหลป้อย ทั้งเจ็บ
ทั้งกลัว มันเจ็บไปหมด ตาก็ยังลืมขึ้นไม่หมด หัวยังมึนๆ พี่โต้เอาช่อดอกไม้มาให้
พอมาถึงในห้อง ก็ต้องย้ายจากเตียงเข็น มาที่เตียงนอนของออน ตรงนี้แหละ
เจ็บมากกกกก คือท้องมันระบมอยู่ และต้องขยับตัว ขยับท้อง ทั้งร้อง และน้ำตาไหล
แต่สุดท้ายก็ผ่านมาด้วยดี มานอนอยู่บนเตียงในห้องที่โรงพยาบาล
คุณหมอเดินมาคุยด้วย และบอกว่าก้อนเนื้อที่ผ่าออกมา “ไม่ใช่ Cyst ……. …. . .. …
แต่เป็นเนื้องอก ที่เกิดขึ้นในรังไข่ขวา ………….”
ถ้าจำไม่ผิดหลังผ่าเสร็จ คุณหมอจะยังไม่ให้ทานอะไร ต้องรอให้ถึง 10 โมงเช้า
ของอีกวันประมาณนี้ คืนนั้นยังต้องใช้สายฉี่อยู่ เพราะเค้าจะต่อท่อเลย เราจะยังไม่
สามารถลุกไปไหนได้ ได้แต่นอน ท้องก็เจ็บ นอนท่าเดิมนานๆ หลังก็ปวด ขยับได้
นิดเดียวจริงๆ เพราะแรงไม่มี ขยับมากก็เจ็บอีก จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ได้กินข้าว
และมีพยาบาลเข้ามาเช็ดตัว เปลี่ยนชุดให้ ซึ่งวันนี้ช่วงเย็นๆ พยาบาลจะต้องเข้า
มาพยุงให้ออนหัดเดิน … ใช่ค่ะ หัดเดิน ผ่ามาได้วันเดียวต้องเดินเลย เพราะไม่
อย่างนั้นลำไส้มันจะมีปัญหาในเรื่องการทำงาน
โดยเริ่มแรกคือ
– เริ่มหัดพลิกตัวขวา พลิกตัวซ้าย ค่อยๆพลิกช้าๆ พลิกไปพลิกมา
– ลองนอนตะแคงซ้าย นอนตะแคงขวา
– ค่อยๆพลิกตัวเบาๆก่อนจะให้คนช่วยพยุงให้เราเดิน โดยเดินช้าๆ
ตรงนี้ทรหดจริงๆค่ะ คือมันเจ็บ มันระบม มันช้ำ แต่ต้องฝืนที่จะขยับตัว พลิกตัว
หัดตะแคงตัว และที่เจ็บที่สุดคือตอนที่พยายามลุกขึ้นมานั่ง เพื่อที่จะเตรียมตัวเดิน
ออนจำได้ว่าออนเดินจับท้องด้านขวาไว้ตลอด เพราะมันเจ็บมากกก รู้สึกว่าวันนี้
เค้าจะให้เดินไปปัสสาวะเองแล้ว ไม่ต้องใช้สายฉี่ เหมือนเป็นการกระตุ้นให้เรา
ต้องเดินไปเดินมา เพื่อให้ลำไส้มีการทำงานเป็นปกติที่สุด ตอนที่เดินกลับมาจะขึ้น
เตียงนอน ก็ทรหดอีกเหมือนกัน ต้องค่อยๆนั่ง ค่อยๆเอน ค่อยๆพลิก ค่อยๆนอน
อีกหนึ่งคืนก็ผ่านไป คุณหมอมาดูอาการบอกว่าอาการโอเค ไม่มีปัญหา ดังนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แอบดีใจเบาๆ เพราะเบื่อ
โรงพยาบาลมาก นัดออกได้ช่วงสายๆของวันเสาร์ ก็มีพนักงานเข็นรถมารับ
ค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นรถ คุณแม่ก็ขับพากลับบ้าน
ซึ่งช่วงนั้นออนเลยต้องพักฟื้นที่บ้านคุณตาคุณยาย เพราะหลังผ่าเสร็จ
คุณหมอห้ามไม่ให้ขึ้นบันได 2 อาทิตย์ และไม่ให้ขับรถ 3-4 อาทิตย์ เพราะกลัว
ว่าถ้าแผลยังหายไม่สนิท แล้วเราไปก้าวเยอะๆ ไปฉีกขา ไปขับรถ และ
เหยียบเบรกกระทันหัน มันกระตุกตรงขาเรา (ขาขวาด้วย) จะยิ่งทำให้แผลมัน
เปิดได้ และเราจะเจ็บจิ๊ดดด ดังนั้นเราควรหลีกเลี่ยงพวกนี้ไปเลย เพื่อให้แผลหาย
สนิทและหายเร็วที่สุด เนื่องจากบ้านคุณตามีบ้านหลังเล็กๆ ขนาดเท่า 1 ห้องนอน
และมีห้องน้ำในตัวอยู่พอดีหน้าบ้าน ออนเลยไปพักที่นั่นประมาณ 2 อาทิตย์
จำได้ว่าต้องกินยาหลายอย่าง และ 2 วันแรกหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล
ออนก็นอนกลางวันทั้งวัน เพราะร่างกายเพลีย พอวันที่ 3 หลังจากออกจาก
โรงพยาบาลเริ่มมีแรงละ เริ่มเดินออกมาข้างนอกบ้าน เดินไปบ้านใหญ่ กินข้าว
อะไรแบบนี้ได้ แต่ก็ไม่ขึ้นบันไดอะไรทั้งสิ้น ส่วนเรื่องอาบน้ำ สามารถอาบเอง
ได้ตั้งแต่ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลค่ะ เค้าจะมีพลาสเตอร์ปิดเผลไว้ ก็อาบได้
ผ่านไป 7-10 วัน พลาสเตอร์จะเริ่มหลุดไป หรือเราจะแกะออกก็ได้ แผลที่เห็น
หลังจากแกะพลาสเตอร์ออกคือ รอยขีดสีเนื้อเข้มๆ ประมาณ 1 ซม จำนวน 3 จุด
บนหน้าท้องออก (ด้านนึงมี 2 รอย และอีกด้านมี 1 รอย) และผ่านไปครบ 2 อาทิตย์
ออนก็ใช้ชีวิตปกติ ออนไปกินข้าวนอกบ้าน (เพื่อนหรือพี่โต้ขับรถให้) เดินไปห้าง
แต่ก็จะเดินช้าๆ และที่สำคัญห้ามวิ่ง! เพราะจะทำให้แผลกระเทือน วิ่งได้หลังผ่า
1 เดือนขึ้นไป
อันนี้คือประสบการณ์ที่ออนเจอมา ถือว่าเป็นการผ่าตัดครั้งใหญ่มากในชีวิต
มันน่ากลัว มันเจ็บ มันหลายๆอย่าง วันนี้ออนเลยอยากมาสรุปให้อ่านกันด้วย
จะได้เข้าใจกันง่ายๆ ค่ะ
วิธีสังเกตุ/อาการที่แสดงว่ามีสิทธิ์เป็นเนื้องอหรือ Cyst
– คนที่มีอาการปวดท้องบ่อยๆ
– คนที่มีอาการปวดท้องเป็นระยะๆ
– คนที่ปวดท้องประจำเดือนแบบปวดหนักๆ ปวดร้องไห้ ปวดดิ้น
อาการเหล่านี้ควรหาหมอเพื่อเช็คไว้ และที่สำคัญเราควรเช็คสุขภาพ
ทุกปีค่ะ เพราะโรคเหล่านี้ยิ่งเจอเร็วยิ่งดี เพราะจะได้รีบหาทางแก้ การที่เรา
ปล่อยไว้นานๆ อาจจะทำให้ก้อนโตขึ้น เจ็บมากขึ้น ต้องผ่าแบบกรีดหน้าท้อง
ซึ่งแผลจะเหวอะหวะ พักฟื้นนานกว่า แผลหายยากกว่า และหน้าท้องก็ไม่สวยไปเลย
หรืออาจจะกลายเป็นก้อนเนื้อร้ายด้วย
ผลหลังการผ่า
– ผ่าเสร็จหนึ่งอาทิตย์คุณหมอนัดดูอาการ นัดคุย ผลปกติไม่มีอะไร
– ผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์ได้ผลตรวจ คุณหมอบอกเป็นก้อนเนื้อ หรือเนื้องอกนั่นเอง
เป็นชนิดที่ไม่ค่อยมีคนพบกัน แต่ไม่ใช่เนื้อร้าย ตัดออกไปแล้ว (ตัดเนื้องอก ไม่ได้ตัดรังไข่)
ดังนั้นโอกาสที่จะกลับมาเป็น ก็มีอีก เพราะรังไข่ยังอยู่ แต่ด้วยอายุที่ยังน้อย และยังไม่เคย
มีลูก ดังนั้นคุณหมอจะไม่ตัดรังไข่ทิ้ง แต่ถ้าพบในคนที่อายุมาก หรือมีลูกแล้ว อาจจะต้อง
ตัดรังไข่ทิ้งไปเลย
– มาพบคุณหมอหลังผ่าตัดไป 1 เดือน ไม่มีปัญหาอะไร แผลปกติดีทุกอย่าง
– มาพบคุณหมอหลังผ่าตัดครบ 3 เดือน ไม่มีปัญหา ทุกอย่างปกติ
– มาพบคุณหมอหลังผ่าตัดครบ 6 เดือน ก็เรียบร้อยอีกเช่นเคยค่ะ
การเลือกโรงพยาบาล
ออนไม่มีความรู้ทางนี้ แต่พอดีออนมีพี่ชาย ที่เป็นญาติสนิทกัน เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลรามา
พี่ชายเลยแนะนำให้มาผ่าที่รามา พรีเมี่ยม (คือรามาที่เป็นเหมือนเอกชน ตึกและอุปกรณ์อะไรจะ
ใหม่กว่า ไม่ใช่รามาแบบเก่า) และพี่ชายออนได้แนะนำคุณหมอให้ ชื่อคุณหมอศรีเทียร บอกว่า
เป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดส่องกล้อง คุณหมอใจดี พูดคุยดี ไม่ดุ ไม่น่ากลัวค่ะ
มีห้องหลายแบบ ออนเลือกห้องที่มันใหญ่สุด คือมีบริเวณ อยู่แล้วสบาย มองออกไปเห็นวิว
(ห้องใหญ่กว่าโรงพยาบาลแพงๆที่อื่นซะอีก) คือคนมาอยู่ในห้อง 5 คน ยังไม่รู้สึกว่าห้องแคบ
ราคา
ถ้าจำไม่ผิด ราคาค่าผ่าตัดรวมนั่นนี่ ประมาณ 85,000 บาท
(ราคาวิชัยยุทธ ประมาณ 130,000 และสมิติเวช/บำรุงราษฎ์ ประมาณ 150,000-200,000)
ค่าห้องจ่ายแยกอีกคืนละ 6,500
นอนรวม 2 คืน อันนี้มีอาหารเช้ากับเย็นให้ค่ะ
การจองคิว
ก่อนที่จะรักษาได้ ต้องมีการจองคิว เพื่อทำประวัติคนไข้ก่อน อันนี้ออนไม่รู้รายละเอียด
เพราะว่าพี่ชายออนที่เป็นหมอ เป็นคนจัดการให้ค่ะ
ประกัน
เนื่องจากตอนนั้นออนทำแค่ประกันอุบัติเหตุไว้ ไม่ได้ทำประกันสุขภาพ ทำให้ในส่วนนี้
ไม่สามารถเบิกอะไรได้ทั้งสิ้น จ่ายสด จ่ายหมดค่ะ แต่ถ้าใครที่ทำประกันสุขภาพไว้
ก็ต้องดูเงื่อนไขเค้าอีกทีว่าเค้าครอบคลุมในส่วนนี้มั้ย แต่กรณีของออน พอได้เจอเรื่อง
เนื้องอก และมาทำประกันสุขภาพ ทำให้ประกันจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้เกิดขึ้นอีกค่ะ
ดูแลตัวเองตอนนี้ยังไง
ผู้ใหญ่คนไทยหลายคนมีความเขื่อว่าโรคเหล่านี้เกิดจากอาหารเช่น การที่กินอาหาร
ไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่ healthy ไม่กินผัก หรือการกินเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อวัวใน
ปริมาณมาก ซึ่งออนเป็นครบตามข้างบนคือไม่กินผัก กินแต่ของอ้วน กินแต่อาหารฝรั่ง
และชอบกินเนื้อวัว โดยเฉพาะแบบ medium rare เนื้อแดงๆ เนื้อเลือดๆ แต่คุณหมอ
บอกว่าไม่เกี่ยว มันเกิดขึ้นเอง มันมาเอง และไม่มีวธีป้องกันอะไรมาก
สำหรับออนจะจริงไม่จริงไม่รู้ ออนก็พยายามทานผักมากขึ้น ทานน้ำผลไม้
ทานวิตามินรวม เพื่อให้ร่างกายออนมีกากใยอาหารต่างๆ ที่จะช่วยให้ลำไส้
หรือระบบภายในทำงานได้ดีขึ้น ทำงานหนักน้อยลง และลดการกินเนื้อ จากที่แต่ก่อน
ออนกินเนื้อทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละหลายวัน กินทีกินเยอะมากๆ ตอนนี้ลดการกินลง
คือจัดหนักมือใหญ่ไปเลย เดือนละไม่กี่ครั้ง หรือลดปริมาณการกินให้น้อยลง ซึ่งก็หวัง
ว่าจะช่วยได้บ้าง
อันนี้เป็นประสบการณ์และข้อมูลที่ออนพอจำได้ ที่อยากเขียน และแชร์ให้อ่านกัน
เพื่อที่จะได้ลองสังเกตุตัวเราดูว่าเรามีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรึนี้มั้ย และที่สำคัญที่สุดคือ
สาวๆควรทำในเรื่องของประกันสุขภาพและอุบัติเหตุไว้ เผื่อยามฉุกเฉิน ไม่เช่นนั้น
ต้องจ่ายเต็มแบบของออน และควรตรวจร่างกายทุกปี เพื่อดูความเรียบร้อย และ
ป้องกันไว้แต่เนิ่นๆค่ะ ไม่ใช่ทิ้งไว้จนนานเกินไป
ขอบคุณค่า
กลับมาเจอกันใหม่นะคะ