สวัสดีค่า
วันนี้ออนพามากิน กิน กิน กินกันอีกแล้ว
หลายๆคนที่อ่านใน Facebook ของออนจะเห็นว่า นอกจากเรื่อง
เครื่องสำอาง ความสวยความงามแล้ว ออนก็ยังชอบกินเป็นชีวิตจิตใจ
เรียกว่ามีร้านอะไรใหม่ ร้านไหนน่าลอง ร้านไหนที่เค้าว่าเด็ด
ออนก็จะไม่พลาดที่จะไปลองซักครั้งค่ะ
และในวันนี้ก็เช่นกัน เพราะว่าร้าน “Mikaku” หรือที่อ่านว่า “มิคาคุ“
ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังจากเมือง Kyoto ประเทศญี่ปุ่น ได้ตัดสินใจขยาย
สาขาเป็นครั้งแรกในรอบ 80 ปี และเลือกกรุงเทพเป็นเมืองแรกใน
การขยายสาขาในครั้งนี้ค่ะ .. แอบกระซิบว่าตอนนี้ทางร้านได้มีการ
บริหารกันมาถึงทายาทรุ่นที่ 3 แห่งตระกูลมิตะแล้วนะคะ พูดเลยว่า
Authentic สุดๆ
ร้าน Mikaku
ตั้งอยู่ชั้น 2 ที่ตึก Maison Eric Kayser (ระหว่างซอยทองหล่อ 3 และ 5)
ซึ่งจุดสังเกตุของตึกนี้ง่ายๆคือตรงข้ามธนาคารกรุงศรีนั่นเองค่ะ
เมื่อเข้ามาก็จะมีลิฟท์ให้ขึ้นมาชั้น 2 และเมื่อเปิดมา ก็จะเจอร้านทันทีค่ะ
ซักพักมีพนักงานต้อนรับพามาที่โต๊ะ โดยที่โต๊ะอาหารจะนั่งเรียงกันแบบนี้ค่ะ
มีเตาผัดอยู่ข้างหน้า และมีเชฟยืนเฝ้าประจำตามจุด
จุดเด่นของที่นี่ ว่าทำไม Mikaku ถึงขึ้นชื่อว่าเป็นเทปันยากิที่สุดยอด
ก็เพราะว่าสูตรถูกเก็บเป็นความลับมาตลอดในทายาทรุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2
นอกจากนี้ที่นี่จะพิถีพิถันมาก เพราะจะใช้มีดในการแล่เนื้อ ไม่ใช้เครื่องจักร
เพื่อให้เชฟได้รับรู้ถึงเซลล์ของเนื้อ รวมถึงเพื่อรักษาให้เนื้อแต่ละชิ้นเสีย
หายน้อยที่สุด ดังนั้นเชฟแต่ละท่านที่จะมาทำงานที่นี่ จะต้องถูกฝึกหนัก
เพื่อความชำนาญในการใช้มีดมากๆค่ะ
เชฟเคนจิ แห่งตระกูลมิตะ รวมถึงยังเป็นหัวหน้าเชฟของร้าน
กำลังเตรียมเนื้อ “Wagyu” หรือ ” เนื้อวากิว” ให้ออนทานค่ะ ซึ่ง
เนื้อวากิวที่ทางร้านใช้ จะเป็นเกรด A4-A5 ซึ่งนับว่าเป็นเกรดดีที่สุด
และมีราคาแพง เนื่องจากเนื้อในระดับ A4-A5 จะมีไขมันแทรกตรง
กลาย คล้ายกับลายหินอ่อน ทำให้เนื้อนุ่ม หวาน ละลายในปาก
แถมยังอุดมไปด้วยวิตามิน ไม่ว่าจะเป็น Omega-3 และ Omega-6
งานนี้ออนได้ลองทานทั้ง 4 คอร์สเลยค่ะ
โดยจะมีคอร์สดังนี้
สเต็ก คอร์ส (Steak Course)
สุกี้ยากี้ คอร์ส (Sukiyaki Course)
ออยล์ยากิ คอร์ส (Oil-yaki Course)
กริลล์ชาบู คอร์ส (Grilled-Shabu Course)
ซึ่งในคอร์สหนึ่งจะมี appetizer เสิร์ฟรองท้อง พร้อมกับซุป และสลัด
หลังจากนั้นก็จะเป็น main course หรือเนื้อของคอร์สที่เราสั่งไป ตามด้วย
ข้าวญี่ปุ่น ซุป และผักดอง แต่ถ้าหากอยากทานข้าวผัดกระเทียม ก็สามารถ
เปลี่ยนได้ค่ะ โดยทางร้านมีข้าวผัดกระเทียมสูตรพิเศษไว้บริการลูกค้า
เพียงเพิ่มเงิน 250 บาทเท่านั้น และตบท้ายด้วยของหวานที่เป็น
เมนูของวันนั้นๆ
นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูตัวเลือก สำหรับคนที่อยากลอง
ทานอะไรนอกเหนือจากเนื้อ หรือสำหรับคนไม่ทานเนื้อ ซึ่งเมนูเด็ดของ
เค้าก็คือ “กุ้งล็อปสเตอร์” และ “หอยเป๋าฮื้อดำ” ซึ่งสองเมนูนี้จะต้อง
โทรสั่งจองล่วงหน้าก่อน 1 อาทิตย์นะคะ เพราะว่าทางร้าน
นำเข้ามาจากญี่ปุ่นกันเลย
Grilled-Shabu Course
ราคา (100 กรัม = 3,500 บาท)
ตัวนี้จะเป็นเนื้อวากิว แล่มาพอดีคำ ซึ่งจะนำมาย่างไฟ หรือกริลล์จนสุก
กำลังดี โรยด้วยเกลือและพริกไทยค่ะ คำนี้ใครชอบทานเนื้อย่าง
แนะนำเลย เพราะเนื้อจะมีรสชาติเค็มๆ และนุ่มลิ้นในตัวเอง
Kobe Beef Steak Course
ราคา (100 กรัม = 3,500 บาท)
มาถึงสเต็กกันบ้าง อันนี้เป็นจานโปรดของออนเลยค่ะ
เพราะว่าอร่อยมาก โดยออนจะกินแบบ “medium rare” คือด้านในจะ
ยังเป็นเนื้อสีแดงๆ (ถ้าสเต็กฝรั่ง เวลาหั่นแล้วจะมีเลือดออกมานิดๆค่ะ)
ส่วนด้านนอกจะสุกๆ ทำให้เนื้อนุ่ม ละลายมาก พูดเลยว่าจานนี้เด็ดมากก
นอกจากนี้ที่นี่เค้าไม่ใช้น้ำมันในการทำด้วยนะคะ
แต่เค้าใช้ไขมันจากเนื้อวัวตามภาพในการทำสเต็กต่างๆค่ะ คือทั้งอร่อย
ทั้งรู้สึก Authentic สุดๆ
ระหว่างทานอาหารเชฟก็จะอยู่ด้านหน้าเราแบบนี้ค่ะ
กินไป ดูเชฟทำอาหารไป ทำให้ได้เห็นทุกขั้นตอนของเชฟในการทำ
ว่าพิถีพิถันแค่ไหน ตอนที่เชฟทอดกระเทียม คือไม่ได้ย่างๆแล้วจบนะ
แต่ว่าค่อยๆพลิกทีละกลีบๆ ปราณีตมาก พูดเลย
ที่สำคัญเชฟน่ารักมากค่ะ ตอนแรกแอบเกร็งๆเหมือนกัน
เพราะได้ยินมาว่าเชฟที่ดังๆจะค่อนข้างดุ แต่เชฟชวนคุยภาษาอังกฤษด้วย
เลยไม่เกร็งเลย ทำให้การทานอาหารสนุกขึ้นไปอีก
Oil-Yaki Course
ราคา (100 กรัม = 3,500 บาท)
เป็นการนำเนื้อวากิวมาผัดในซอสสูตรพิเศษ เอกลักษณ์ของทางร้าน
ที่มีรสออกหวานๆ เมื่อผัดแล้ว เนื้อจะนุ่ม ละลาย ปนหวานๆ
คือจานนี้ใครชอบทานเนื้อแบบเนื้อฉ่ำๆ ชุ่มๆ หวานๆ หรือจะจิ้มเกลือ
จิ้มซอสอย่างอื่น เพื่อเพิ่มรสชาติแนะนำค่ะ
Sukiyaki Course
ราคา (100 กรัม = 3,500 บาท)
เอาใจคนรักการกินสุกี้ ด้วยเนื้อจิ้มไข่!!
พูดเลยว่าเนื้อผัดมาชุ่มๆ หวานๆ มาจิ้มไข่ดิบๆกิน ละมุนนุ่ม ละมุนลิ้น
ปกติออนเป็นคนชอบกินเนื้อสุกๆดิบๆจิ้มไข่ดิบอยู่แล้ว เจอเนื้อวากิวจิ้ม
ไข่ดิบเข้าไป คือฟินนนนน
ดูกันชัดๆ
มือไม้สั่น ถ่ายรูปไม่ชัดกันเลยทีเดียว แต่จานนี้อร่อยมากกกกก
นอกจากนี้ลูกมือของเชฟก็เป็นคนญี่ปุ่นเช่นกันนะคะ
วันที่ออนไป ออนไปเร็วยังไม่มีลูกค้าเท่าไหร่ แต่ได้ยินทางหัวหน้า
พูดคุยกับพนักงานเสิร์ฟว่าวันนี้มีโต๊ะจองกี่ๆคน ดังนั้นแนะนำเลยว่า
ถ้าจะไปควรโทรไปจองก่อนค่ะ เพราะว่าที่นี่ลูกค้าญี่ปุ่นมากันแน่นมากจริงๆ
ยังไงวันนี้จบกันไปเท่านี้ก่อนนะคะ
เจอกันใหม่ค่า
ข้อมูลเพิ่มเติม/สำรองที่นั่ง
Instagram : @mikaku_thailand
Facebook : www.facebook.com/MikakuThailand
เบอร์โทรศัพท์ 02-712-9080
(จันทร์–อาทิตย์ เวลา 12.00-14.00 และ 17.00-23.00)
Disclaimer : This is a sponsored post. All opinions are my own.