สวัสดีค่ะสาวๆทุกคน
หลังจากที่ออนได้เขียน Blog เกี่ยวกับ
” ขั้นตอนการขอวีซ่าอเมริกา ประเภทท่องเที่ยว แบบผู้หญิ๊งงงง ผู้หญิง ”
ไป และมีสาวๆหลายคนชอบกันมาก เพราะบอกว่าอ่านง่ายมาก เข้าใจง่ายมาก
บวกกับทำให้รู้ว่าทำไม อะไร เพราะเหตุใด อะไรแบบนี้ ออนก็ดีใจ ปลื้มปริ่ม
มีแรงเขียน Blog ต่อกันเลยทีเดียว เพราะออนคิดว่าผู้หญิงเรา บางทีอ่านอะไร
วิชาการเกิน หรืออะไรที่ไม่ได้อธิบายไว้ก็มักจะงง วันนี้เลยอยากมาแชร์
ประสบการณ์ให้สาวๆอ่านกันค่ะ
เอาหละวันนี้ออนจะมาเขียน Blog ที่ต่างออกไปจากทุกๆครั้งนะคะ เพราะวันนี้จะมาเขียน
Blog เกี่ยวกับ “ขั้นตอนการยื่นเอกสารขอวีซ่าไปประเทศอเมริกา ประเภทนักเรียน
ให้สาวๆอ่านกัน เพราะเนื่องมาจากว่าออนมีแพลนจะไปเรียนต่อที่อเมริกาปลายปีนี้ที่ UCLA
ในส่วนของ Marketing และคุณแม่ออนจะบินไปส่ง พร้อมดูความเรียบร้อย ดูสถานที่พัก
ดูโรงแรมให้สบายใจกับออน ดังนั้นออนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวให้คุณแม่
และขอวีซ่านักเรียนสำหรับตัวออนเอง สำหรับตัวออนเอง ออนไม่เคยไปอเมริกามาก่อน ทำให้ไม่
เคยรู้รายละเอียดต่างๆเลย เน้นว่าไม่รู้เลย!!!! อย่างตอนที่ไปเรียนที่ออสเตรเลียช่วง High School
ทางผู้ใหญ่เป็นคนจัดเตรียมเอกสารให้หมด รู้ตัวอีกทีก็แพ๊คกระเป๋า ไปสนามบิน แต่คราวนี้ออนโต
ขึ้นมาอีกขั้นแล้ว เรียนจบแล้ว และกำลังจะไปเรียนต่อ ในการเตรียมตัวครั้งนี้ ออนเลยต้องจัดการเองค่ะ
มาเริ่มกันเลย ออนตั้งใจจะเขียน Blog นี้ขึ้นมาให้สาวๆอ่าน เพื่อความเข้าใจง่ายๆ พูดคุยกันแบบภาษา
ผู้หญิงๆ ไม่เน้นแนววิชาการหรือศัพท์ที่เข้าใจยากๆ เพราะออนเชื่อว่าหลายๆคนที่ไม่เคยขอวีซ่าไป
อเมริกามาก่อน เวลาเข้าไปอ่านรายละเอียด ขั้นตอนต่างๆในเว็บไซต์ อาจจะงงกันได้ เพราะบางที
ศัพท์วิชาการ ศัพท์จริงจังมาก วันนี้เลยอยากเขียนแบบง่ายๆ เน้นเข้าใจกัน พร้อมรูปค่ะ
มาดูกันเล้ยยยยยยยยยยยยยยยย!!!
*คำแนะนำ : ควรเตรียมเอกสารให้พร้อมที่สุด ครบที่สุด กันไว้ดีกว่าพลาด เพราะถ้าหาก
เอกสารไม่ครบ เอกสารผิดพลาด เราอาจจะอดได้วีซ่าค่ะ และถ้าจะต้องไปอุทรเรื่อง
เพื่อขอยื่นเอกสารเพิ่ม ก็อาจจะต้องใช้เวลา ดังนั้นเตรียมให้พร้อม เยอะที่สุด ถูกต้องที่สุด
ควรเช็คซ้ำไปซ้ำมา ออนเช็คเอกสารประมาณ 5 รอบ หรือมากกว่านั้น อ่านทุกหน้า เช็ค
ทุกตัว เพื่อให้มั่นใจว่าเราไม่ได้ขาดอะไรไป ที่สำคัญจะใช้ไม่ใช้ค่อยว่ากัน*
*ขั้นตอนการขอ VISA ทั้งแบบท่องเที่ยว และนักเรียนจะค่อยข้างคล้ายกัน
แต่ขึ้นอยู่กับเอกสารค่ะ และเหตุผลเวลาที่ทางเจ้าหน้าที่ที่สถานทูตถามเราเกี่ยวกับ
สาเหตุที่เราจะไป ก็จะต่างกันออกไป*
—————————————————————————–
การเตรียมพร้อมสำหรับการขอ VISA ประเภทนักเรียน
(เวลากรอกเลือกประเภทในเว็บ สำหรับนักเรียนจะเป็นแบบ F-1 ค่ะ
ลองดูได้ในช่องที่ให้เลือก)
1. ควรเตรียมเอกสารให้พร้อมที่สุด
(หน้าตาเว็บ ก่อนอื่นเข้าไปก็เลือกสถานที่เลยค่ะ ตามรูปเลย)
2. การยื่นเรื่องขอวีซ่านั้น ต้องยื่นผ่านเว็บไซต์เท่านั้น ไม่มีการยื่นที่
สถานทูต ต้องยื่นผ่านเว็บไซต์นี้ก่อนนะคะ
( https://ceac.state.gov/genniv/ ) โดยแบบ Form ของ Visa นี้จะเป็น
แบบฟอร์มชื่อ DS-160 (ในกรณีที่ใครเคยอ่านเจอแบบฟอร์ม DS155-156 อะไรพวกนี้
ตอนนี้ยกเลิกหมดแล้วนะคะ แบบฟอร์มอัพเดทใหม่ล่าสุดคือ DS-160 เท่านั้นค่ะ) ซึ่ง
เราควรมีเอกสารพร้อมในมือ เพราะจะมีคำถามถามเรามาเยอะมากกกกก และเราจะ
ต้องพร้อมตอบได้ เพราะถ้าหากทิ้งเพจไว้นานเกินกี่นาที มันจะให้เริ่มใหม่อะไรแบบี้ค่ะ
ดังนั้นต้องพร้อมฝุดๆๆ ที่สำคัญเตรียมรูปสำหรับอัพโหลดให้พร้อม กรอกข้อมูล
ลงไปตามความเป็นจริง เพราะไม่งั้นวันสัมภาษณ์เค้าสุ่มถาม เดี๋ยวจะช็อกได้ค่ะ
(หน้าตาใบคอนเฟิร์มหลังจากขอยื่นเรื่องวีซ่าออนไลน์ เราต้องปริ้นท์ใบนี้มาค่ะ)
3. เมื่อกรอกข้อมูลทุกอย่างในเว็บด้านบนเรียบร้อยแล้ว ทำอะไรต่อ?
เราจะต้องปริ้นท์ใบ Confirmation ไป เพื่อไปซื้อ Pin Number ที่ไปรษณีย์ไทย
โดยราคาอัพเดทล่าสุดปี 2556 อยู่ที่ 360 บาท ต่อ 1 Pin
4. Pin Number คืออะไร? ซื้อทำไม?
Pin Number ซื้อเพื่อจะนำรหัสพิน ไปจองวันนัดสัมภาษณ์ ซึ่งหมายความว่า
การที่เรายื่นสมัครในเว็บไซต์ข้างบนนั้น เป็นแค่การยื่นเรื่องเข้าไป ไม่ได้หมาย
ความว่าเราจะได้ แต่เราจะต้องใช้ Pin Number นี้ เพื่อนัดวันสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง
อีกที่ที่สถานทูตอเมริกา โดย 1 Pin Number สามารถใช้ได้ถึง 4 คน แต่จะต้องเป็น
คนที่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกัน เช่น พ่อ แม่ ลูกคนโต และลูกคนเล็ก
(เข้ามาหน้าเว็บที่จะใส่พิน นัดวันสัมภาษณ์ ให้ไปตรงวงกลม
เพื่อสมัคร Username ก่อน แล้วพอได้ Username ถึงจะมาใส่ตรงช่อง
ข้างล่างค่ะ)
5. หลังจากซื้อ Pin Number มาแล้ว จะนัดวันสัมภาษณ์ได้จากที่ไหน?
หลังจากซื้อ Pin Number มาแล้ว จะยังไม่สามารถใช้ได้ทันที !!! เน้นว่ายังใช้ไม่ได้ !!!!
จะต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ หลังจาก 13.00 (หรือบ่ายโมงตรงเป็นต้นไป) พินนี้ถึงจะสามารถใช้
งานได้ สมมิตออนซื้อพินวันจันทร์ที่ 25 รหัสพินของออนจะสามารถใช้ เพื่อนัดวันสัมภาษณ์
ได้ในวันอังคารที่ 26 ตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป แบบนี้ค่ะ เว็บไซต์สำหรับนัดวันสัมภาษณ์คือ
( https://thailand.us-visaservices.com/Forms/SelfServiceLogin.aspx )
(ใบคอนเฟิร์มการนัดวันสัมภาษณ์ VISA หน้าตาแบบนี้ค่ะ ปริ้นท์เผื่อไปเลย)
6. หลังจากนัดวันสัมภาษณ์แล้ว เราจะต้องทำอะไรต่อ?
ขั้นตอนตรงนี้จะมีเพิ่มมาจากวีซ่าแบบท่องเที่ยว เพราะคนที่จะยื่นเรื่องขอ
วีซ่าแบบนักเรียนจะต้องทำการชำระเงินค่า Sevis Fee
7. Sevis Fee คืออะไร?
Sevis Fee เป็นค่าธรรมเนียม สำหรับผู้ที่ต้องการขอ VISA นักเรียนค่ะ
โดยค่าธรรมเนียมอยู่ที่ $200 ซึ่งเราจะสามารถชำระค่าธรรมเนียมอันนี้ได้ก็ต่อเมื่อ
เราได้รับ I-20 จากโรงเรียนแล้วเท่านั้น เพราะขั้นตอนการชำระเงิน จะต้องมีการ
กรอกรหัส Code โรงเรียน และรหัส I-20 ค่ะ ซึ่งรหัสทุกอย่างจะอยู่ในใบ I-20 เลย
เราสามารถเข้าไปชำระค่าธรรมเนียมได้ที่ https://www.fmjfee.com/i901fee/
ซึ่งจะเป็นการจ่ายเงินแบบ Credit Card ค่ะ หลังจากที่เราทำการจ่ายเงินหักผ่านบัตร
เครดิตเรียบร้อยแล้ว เราก็จะต้องปริ้นท์ใบเสร็จ Sevis Fee ออกมา เพราะวันที่นัด
สัมภาษณ์ เราจะต้องนำใบนี้ไปด้วย!! เน้นว่าต้องนำไปด้วยนะคะ!! และเราจะต้อง
ชำระค่าธรรมเนียมนี้ก่อนนะคะ ไม่ชำระไม่ได้นะคะ!!
8. หลังจากจ่ายค่า SEVIS Fee แล้ว ยังต้องทำอะไรอีก?
หลังจากนัดวันสัมภาษณ์แล้ว เราจะต้องไปจ่ายเงินค่าวีซ่าที่ไปรษณีย์ (เหมือนเดิมค่ะ)
ซึ่งเน้นนนนน!!!!!! ว่า “ไม่สามารถไปจ่ายค่าวีซ่าที่สถานทูตนะคะ ไม่ได้นะคะ ไม่ได้!!!”
ต้องทำการจ่ายเงินค่าวีซ่าที่ไปรษณีย์เท่านั้น โดยเราไปบอกทางไปรษณีย์ว่าเรามา
ขอจ่ายค่าวีซ่า และบอกประเภทวีซ่าของเราไป ทางไปรษณีย์จะให้เรากรอกแบบฟอร์ม
โดยค่าวีซ่าประเภทท่องเที่ยว และนักเรียน อัพเดทล่าสุดปี 2556 อยู่ที่ 4800 บาท/ คน ค่ะ
7. จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ทำอะไรต่อ?
เก็บไปเสร็จไว้ให้เรียบร้อย พร้อมใบคอนเฟิร์มการยื่นขอวีซ่า ไปคอนเฟิร์มวันนัด
ใบเสร็จ Sevis Feeพวกนี้สำคัญมาก ตอนนี้ก็เตรียมเอกสารให้พร้อม เช็คแล้วเช็คอีก
เช็คให้ถี่ถ้วนเช็คซ้ำๆ หลายๆรอบ เพื่อความถูกต้อง และเตรียมตัวรอวันสัมภาษณ์ โดยเน้นว่า
ควรเก็บเอกสารใส่แฟ้มไว้ เพื่อความปลอดภัย และวันสัมภาษณ์ควรไปถึงสถานทูต
ก่อนเวลานัดอย่างน้อง 30 นาที (หรือครึ่งชั่วโมง) เพราะไม่งั้นคิวจะเยอะมาก คนจะ
รอกันนานมาก
เอกสารสำหรับการขอวีซ่าชั่วคราว ประเภทนักเรียน ไปอเมริกา (F-1)
*สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ.. เมื่อเราต้องการเดินทางไปเรียน ไปศึกษาต่อที่ประเทศอเมริกา
ไม่ว่าจะไปเรียนภาษา ไปเรียนต่อ High school ไปเรียนต่อปริญญาตรี หรือโท เราจะ
ต้องทำการติดต่อกับทางโรงเรียน หรือสถานศึกษาที่นั่นก่อน เพื่อดูว่าเราสามารถเข้าที่
นั่นได้รึเปล่า เช่นดูว่า Requirement ของเค้ามีอะไรบ้าง โดยส่วนมากก็จะเป็น
– GPA ต้องเกินเท่าไหร่
– ต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาในระดับไหน (วัดจากพวก TOEIC/IELTS/TOELF)
– มีใบรับรองจากสถานศึกษาของเรา
– มี Transcript พร้อมใบจบ (กรณีที่จบจากช่วงชั้นนึง และกำลังจะต่ออีกช่วงชั้นนึง)
อันนี้คือสิ่งคร่าวๆที่ควรจะมี ซึ่งแต่ละสถานศึกษา เค้าก็จะ Require เอกสาร
ความยากง่ายอะไรต่างกันออกไปค่ะ ยกตัวอย่างในกรณีของออน ยื่นเข้า UCLA Extension
ที่นี่รับทั้ง IELTS และ TOELF ซึงออนถนัด IELTS มากกว่า เพราะเคยสอบตอนเข้าจุฬา
มาแล้ว เลยเลือกไปสอบอีก และออนได้ IELTS Band 7.0 ซึ่งผ่านเกณฑ์ ไม่ต้องไปเรียน
ภาษาอังกฤษกับเค้า บวกกับ GPA เกรดเฉลี่ยออนเกินเกณฑ์ และ Statement ในบัญชีของ
ออนไม่มีปัญหา ทางมหาลัยก็จะตอบรับกลับมาค่ะ ดังนั้นการที่เราจะเข้าไปที่ไหน เรา
ดูว่าเรามีคุณสมบัติตามที่สถานศึกษาเค้าต้องการมั้ย ลองดูเผื่อไว้ 2-3 ที่ค่ะ จะได้มีตัวเลือก
(หรือผิดหวังน้อยหน่อย เพราะถ้าเลือกไว้ที่เดียว ถ้าไม่ได้แล้วเดี๋ยวจะผิดหวังเยอะ)
พอเรามีคุณสมบัติตามที่เค้าต้องการ เราก็ยื่นเรื่องสมัครเข้าไป ซึ่งส่วนมากถ้า
มหาลัยเค้าตอบรับ เราจะต้องมีการโอนเงินเข้าไปจำนวนหนึ่ง คล้ายๆกับมัดจำอะไรแบบนี้
และทางมหาลัย หรือสถานศึกษานั้นๆจะออก “ใบ I-20” มาให้
“I-20 คืออะไร??”
I-20 เหมือนใบรับรองจากสถานศึกษาในอเมริกา ว่าสถานศึกษานี้ได้มาตรฐาน
และเราได้มีการสมัครเข้าไป ซึ่งทางสถานศึกษาได้รับเราแล้ว (เพราะสถานศึกษาที่ไม่ได้
มาตรฐานบางที่ จะไม่มี I-20 ค่ะ)
“I-20 จำเป็นมั้ย? ต้องมีมั้ย? ไม่มีได้รึเปล่า?”
จำเป็นค่ะ จำเป็นมากกกกกก!!!!!!!! ถ้าไม่มี I-20 เราจะไม่สามารถยื่นเรื่อง
เพื่อขอวีซ่าแบบนักเรียนได้เลย ดังนั้นถ้าเราไม่มีตัวนี้ หมายความว่าเราขอวีซ่าไม่ได้ค่ะ
*ดังนั้นก่อนที่จะโอนเงินไปให้สถานศึกษาที่ไหน เช็คให้รอบคอบว่าสถานที่นี้
ออกใบ I-20 ให้มั้ย เพื่อที่เราจะได้นำใบนี้มายื่นกับสถานทูต เพื่อทำการขอวีซ่าค่ะ*
(วงกลมแรกคือส่วนที่เราสามารถทดลอง Test อัพโหลดรูปของเราเข้าไปดูค่ะ
ว่ารูปของเราได้ผ่านมาตรฐานมั้ย ผ่านมั้ย เพราะถึงเวลาที่ต้องอัพโหลดรูปจริงๆ
ถ้ารูปไม่ผ่าน ขั้นตอนที่ทำมาเกือบทั้งหมดจะไม่สูญเปล่าค่ะ)
1. รูปถ่ายขนาด 2×2 นิ้ว โดยไปที่ร้านและบอกว่า “ถ่ายรูปติดบัตรสำหรับขอวีซ่าอเมริกา”
ทางร้านจะรู้เลย ว่าจะต้องเป็นขนาด 2×2 นิ้ว, ฉากหลังสีขาว, เก็บผมให้เรียบร้อย ห้ามมีผม
มาปรกหน้า, ต้องเห็นหน้าชัดเจน ที่สำคัญ “ต้องเปิดหู เห็นหูอย่างชัดเจน” ใครหูพับ แนะนำให้
ทางร้านใช้ “เทคนิค 3 ช็อต) คือถ่ายด้านข้างสุด ด้านข้างกลาง และหน้าตรง ทั้งด้านซ้าย
และขวา หลังจากนั้นเอารูปมาตัดต่อกัน จะได้รูปที่ “หน้าตา พร้อมเห็นหูชัดเจน” ค่ะ
เคล็ดลับนี้ออนทำมาเอง เพราะว่าหูออนไม่กาง พอถ่ายยังไงก็ไม่เห็นหูซะที กลัว
ไม่ผ่าน เลยทำแบบนี้ซะเลย นอกจากนี้รูปจะต้องเป็นรูปที่ถ่ายไม่เกิน 6 เดือนค่ะ และบอก
ทางร้านเลยว่าให้ทางร้าน Scan ไฟล์รูปให้ลง Thumb drive หรือซีดี อะไรก็ได้ โดยย่อ
ขนาดให้เล็กลง ถ้าจำไม่ผิด ห้ามเกิน 200KB หรือเท่าไหร่เนี่ยแหละค่ะ เพราะเราจะต้อง
ใช้รูปนี้ในการอัพโหลดลงเว็บตอนเรายื่นขอวีซ่าด้วย ดังนั้นเตรียมไว้เลย
2.บัตรประชาชนตัวจริง และสำเนาบัตรประชาชน
อันนี้ไม่แน่ใจว่าต้องเซ็นสำเนาถูกต้องรึเปล่า แต่เอกสารที่เป็นสำเนา ออนเซ็นสำเนาถูก
ต้องไว้ทุกใบ เพื่อความชัวร์และความปลอดภัย เช่น “สำเนาถูกต้องสำหรับใช้ขอวีซ่า
ไปอเมริกา ประเภทนี้ ประเภทนั้นเท่านั้น” ประมาณนี้ค่ะ
3. Passport ตัวจริง และสำเนา Passport
โดย Passport ตัวจริงที่มีอายุใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และถ้าหากมี Passport เล่ม
เก่าๆสามารถเอามาเป็นหลักฐานเพิ่มเติมได้ด้วย ในกรณีที่เจ้าหน้าที่อยากเช็คประวัต
ต่างๆ เพราะการขอวีซ่าไปอเมริกาค่อนข้างยาก บางทีเค้าก็อยากรู้ว่าเราเคยเดินทาง
ท่องเที่ยวมาก่อนมั้ย หรือยังไง เพราะอย่างที่ทราบกัน คนจากทั่วโลก ก็อยากจะไป
อเมริกา หลบไปทำงานแบบผิดกฏหมาย ทำให้เค้าเคร่งมากในเรื่องนี้
4. แบบฟอร์มสมัคร VISA DS-160 (แบบฟอร์มคอนเฟิร์มที่เราสมัครในเว็บตอนแรก)
5. ใบเสร็จค่าสมัคร VISA (ที่เราไปจ่ายมาที่ไปรษณีย์ 4800 บาท)
6. ใบคอนเฟิร์มนัดสัมภาษณ์ (หลังจากที่เราใช้ Pin Number กรอกเพื่อนัดวันสัมภาษณ์ไป
พอนัดได้แล้ว ก็จะมีแบบฟอร์มคอนเฟิร์มมา เราปริ้นท์ใบนี้มา และเอามาด้วยค่ะ สำคัญมาก)
7. I-20 (ตัวจริงที่ทางโรงเรียนจากอเมริกาออกมาให้)
8. ใบเสร็จ Sevis Fee (ยืนยันว่าได้ชำระค่าธรรมเนียมนักเรียนเรียบร้อยแล้ว)
9. ทะเบียนบ้านตัวจริง พร้อมสำเนาทะเบียนบ้าน
10. หนังสือรับรองจากที่ทำงานตัวจริง พร้อมสำเนา
ในกรณีที่เราเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว แต่ต้องการลาออกจากงานเพื่อไปเรียนต่อ
สามารถให้ที่ทำงานออกใบรับรองการทำงานมาได้ว่า เราชื่ออะไร เคยทำตำแหน่งอะไร
และได้ลาออก เพื่อเหตุผลอะไร หรือถ้ากรณีที่ว่าเราตั้งใจว่าเรียนเสร็จแล้ว บริษัทนี้ยัง
จะให้เรากลับมาทำงานต่อ ทางบริษัทก็สามารถออกให้ได้เหมือนกันว่า หลังจากที่
เรียนจบจากที่นู่นแล้ว บุคคลนี้จะกลับมาที่บริษัทนี้ เพื่อทำงานต่อ (อันนี้ทางเจ้าหน้าที่
จะยิ่งชอบ เพราะเหมือนกับมีบริษัทมารับรองว่ากลับแน่นอนอะไรแบบนี้ เหมือนกับว่า
เรายังมีพันธะอยู่นะ เราเรียนเสร็จแล้ว ต้องรีบกลับมาทำงาน)
11. สมุดบัญชีธนาคาร (Statement จากธนาคาร)
อันนี้มี 2 กรณีค่ะ คือ 1. กรณีสปอนเซอร์ตัวเอง 2. กรณีมีคนสปอนเซอร์
ซึ่งการสปอนเซอร์อันนี้คือการยืนยัน พิสูจน์ว่ามีเงินในบัญชีเพียงพอในการใช้ชีวิต ท่องเที่ยว
ไม่ว่าจะค่าเครื่องบิน ค่าที่เรียน ค่าที่อยู่ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เงินส่วนนี้จะสามารถ Cover ได้ ดังนั้น
แนะนำว่าเงินควรมีหลักล้านขึ้นไป เพราะค่าเรียนส่วนมากก็ไม่ต่ำกว่าหลายแสน ไม่รวมค่า
ที่พักเดือนละเป็นหมื่น ค่ากิน ค่าใช้จ่ายจุกจิก รวมๆแล้วปีนึงเกิน 1-2 ล้านแน่นอน ดังนั้น
เพื่อให้ตัวเลขดูสวยงาม เราควรมีไว้ 1-2 ล้านอย่างต่ำค่ะ หรือสวยๆก็ซัก 3-4 ล้านก็ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานศึกษาที่เราไปค่าเทอมแพงมั้ย ค่าครองชีพสูงรึเปล่า เพราะถ้า
มีสูง เราก็อาจจะไม่ต้องมีขนาดนั้นก็ได้ค่ะ (โดยปกติใน Application form ของโรงเรียน
เค้าจะเขียนมาคร่าวๆเลยว่าเราควรต้องมีเงินในธนาคารอย่างน้อยเท่าไหร่ เพื่อให้ Cover
ค่าเรียน ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเดินทาง ในระยะเวลาต่อ 1 ปี ซึ่งเราจะต้องแสดง
Statement ตรงนี้ให้มหาลัยดูตั้งแต่แรกก่อนที่เค้าจะรับเราอยู่แล้ว ว่าเราสามารถดูแล
เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ได้รึเปล่า)
สปอนเซอร์ตัวเอง
ซึ่งการขอ Statement จะต้องขอย้อนหลัง 3 เดือน ไม่ใช่ว่าเราจะขอ Statement จาก
ธนาคาร แล้วเราให้ใครมาโอนเงินก้อนให้เราวันนั้น อันนี้จะดูน่าสงสัยแน่นอน ว่าเงินใน
บัญชีไม่ได้มีอยู่แล้ว เป็นการโอนเข้ามากระทันหันเพื่อการนี้ วีซ่ามีสิทธิ์หลุดแน่นอน
Statement ที่ขอ เดี๋ยวนี้ทางธนาคารจะไม่ได้ระบุเป็นยอดเงินเท่าไหร่ โดยจะระบุเป็น
Low Medium High (Low = 1-2 ล้าน, Medium 3-4 ล้าน และ High 5-6 ล้านขึ้นไป)
อันนีื้คือสิ่งที่ออนถามธนาคารมา เพราะตอนแรกแอบงง และแนะนำว่า …
“ควรขอทั้งแบบภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ” เผื่อไว้ค่ะ อันนี้คือกรณีที่เราสปอนเซอร์
ตัวเองนะคะ
มีคนสปอนเซอร์
ส่วนกรณีที่ยังอายุน้อย ไม่สามารถสปอนเซอร์ตัวเองได้ และต้องมี “คนมาสปอนเซอร์เรา”
โดยส่วนมาก เอาให้ปลอดภัย ดูไม่น่าสงสัยก็คือ “คนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ หรือลุง ป้า
คุณตา คุณยาย” อะไรพวกนี้ค่ะ อย่าพยายามเอาญาติที่ห่างมากเกินไป เพราะโอกาสที่เค้า
จะสงสัยก็มีสูง ว่าเหมือนแบบญาติห่างๆ จะสปอนเซอร์ทำไม อะไรแบบนี้ แต่บางคนก็โชคดี
ที่สปอนเซอร์เป็นญาติห่างๆ และไม่มีปัญหา เพราะออนก็เคยเห็นญาติผู้ใหญ่ออนสปอนเซอร์
ญาติห่างๆ และเค้าได้วีซ่าค่ะ อันนี้ก็แล้วแต่ดวง แล้วแต่เจ้าหน้าที่ที่เราเจอ ซึ่งถ้าหากมีคน
สปอนเซอร์เรา เราจะต้องใช้ Statement ของสปอนเซอร์, หนังสือรับรองระบุความสัมพันธ์
กับสปอนเซอร์ (เดี๋ยวจะเขียนอธิบายเกี่ยวกับหนังสือรับรองระบุความสัมพันธ์), สำเนาบัตร
ประชาชนของสปอนเซอร์, หลักฐานการทำงานของสปอนเซอร์ และสำเนา Passport ของ
สปอนเซอร์ค่ะ
12. หนังสือการรับรองความสัมพันธ์ของ Sponsor
ในหนังสือควรเขียน ชื่อ-นามสกุลของสปอนเซอร์, ตำแหน่ง, หน้าที่การงานว่าทำที่ไหน
อะไรยังไง, เกี่ยวข้องอะไรกับตัวบุคคล และการยืนยันว่าสปอนเซอร์จะเป็นคนดูแลค่าใช้
จ่ายในการเรียน เดินทาง ตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าอยู่ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ระหว่างการเดินทางและพักอาศํยอยู่ในประเทศอเมริกาค่ะ คร่าวๆจะเป็นแบบนี้
เอกสารหลักๆจะมีประมาณนี้ิ เยอะใช่มั้ย? เยอะมากกกกก T_T
เอกสารปึ๊งหนากว่าหนังสือเรียนอีก แต่ แต่ แต่..อย่าพึ่งดีใจไปว่ามันหมดแล้ว เพราะมันยัง
มีเอกสารยิบย่อยอีกค่ะ เช่น
13. ในกรณีที่เคยแต่งงาน และหย่า หรือคู่สมรสเสียชีวิตไปแล้ว
ควรนำไปหย่า หรือใบมรณะบัตรของคู่สมรสไปด้วย ตัวจริงก็ดี หรือจะเป็นสำเนาก็ได้
14. ในกรณีที่เคยเปลี่ยนชื่อ ไม่ว่าจะกี่ชื่อมาก่อน หรือนามสกุล
จะต้องนำไปเปลี่ยนชื่อ หรือใบเปลี่ยนนามสกุล ตัวจริงหรือสำเนาก็ได้ ไปด้วย เพื่อ
เป็นหลักฐาน หากเจ้าหน้าที่สงสัย ต้องการรู้ ก็จะได้มีหลักฐานค่ะ
—————————————————————————–
วัดนัดสัมภาษณ์
สถานทูตอเมริกา จะมี 2 ที่คือสถานทูตรเมริกาที่กรุงเทพ และเชียงใหม่ วันนี้จะมาพูด
ถึงที่กรุงเทพนะคะ สถานทูตอเมริกาในกรุงเทพตั้งอยู่กลางใจเมืองค่ะ คือ “ถนนวิทยุ”
สามารถนั่ง BTS ลงสถานทีเพลินจิต แล้วต่อพี่วินมอเตอไซเข้ามา หรือนั่งพี่แท็กซี่มาเลย
และส่งถึงหน้าสถานทูต แต่ถ้าใครเอารถมา ต้องหาที่จอดรถริมถนนแถวนั้นค่ะ เพราะที่
สถานทูตจะไม่มีที่จอดรถให้ วันนั้นออนเอารถไป ก็หาที่จอดริมถนน และต่อพี่วินเข้ามา
ที่อยู่ของสถานทูตค่ะ
สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
เลขที่ 120/22 ถนนวิทยุ กรุงเทพมหานคร 10330
โทรศัพท์ : +66-2-205-4000
เวลาราชการ: วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 07.00 – 16.00 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ
สถานกงสุลใหญ่ที่จังหวัดเชียงใหม่
387 ถนนวิชยานนท์
โทรศัพท์ :+66-53-107-700
เว็บไซต์
(อ้างอิงจากเว็บไซต์ : http://thai.bangkok.usembassy.gov/index.html )
โดยรอบสัมภาษณ์จะแบ่งเป็น 2 รอบคือ 1. รอบเช้า 2. รอบบ่าย
โดยรอบเช้าเวลาสัมภาษณ์คือ 9.00 น ดังนั้นควรไปถึงตั้งแต่ 8.30 น หรือก่อนหน้านั้น
เพื่อเตรียมเข้าคิว เพราะอย่างที่บอกคนเยอะจริง และรอบบ่ายถ้าจำไม่ผิดจะเริ่ม
13.00 ดังนั้นควรไปถึงตั้งแต่ 12.30 หรือก่อนเวลาค่ะ ไปก่อนดีกว่าไปช้าเสมอ
เสร็จแล้วพอเข้าคิว จนกระทั่งเข้าไปด้านใน เจ้าหน้าที่ก็จะให้ฝากของ
โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือจะต้องฝากไว้ ปิดเครื่องให้เรียบร้อย แต่สามารถนำกระเป๋า
และเอกสารเข้าไปได้ ซักพักพอเดินเข้าไป ก็จะเจอด่านที่ 1 ซึ่งด่านนี้จะตรวจความเรียบ
ร้อยของเอกสารเราก่อน โดยถามว่าเรามายื่นวีซ่าประเภทไหน อะไรแบบนี้ และขอดู
เอกสารหลักๆ และแยกเอกสารหลักๆออกมาให้เรา เสร็จแล้ว เราก็จะได้เบอร์คิวสำหรับ
สัมภาษณ์ เราก็จะเข้าไปนั่งรอข้างใน จนกระทั่งเมื่อถึงคิวเรา เราก็จะไปต่อแถว และ
เข้าไปในแต่ละช่องค่ะ
ในกรณีสำหรับ VISA ท่องเที่ยว มีคนบอกว่าจะขอยากกว่า
VISA นักเรียนหน่อย เพราะเหมือนกับว่ามันไม่ค่อยมีอะไรการันตี ดังนั้นเตรียมตัวให้ดี
กับคำถามที่เค้าจะถาม ในกรณีนี้คุณแม่ออน เคยไปเที่ยวอเมริกามาก่อนแล้วกับคุณตา
และคุณยาย คุณแม่ออนเลยไม่กลัว คุณแม่บอกว่าตอนไปสัมภาษณ์สบายมาก เพราะ
บริษัทที่คุณแม่ทำเป็นบริษัทใหญ่ เป็นบริษัทฝรั่ง ฝรั่งในนั้นทุกคนรู้จัก เค้าก็เลยคุยแบบ
เป็นกันเองสบายๆ และไม่ดูอะไรเลย ไม่แม้แต่จะดู Statement หรือใบรับรองต่างๆ
ซึ่งเมื่อเค้าบอกให้ไปซื้อซองที่ไปรษณีย์ หมายความว่า “VISA ผ่านค่ะ” ถ้าเค้ายื่น
Passport ให้ อันนั้นจะหมายความว่า VISA เราไม่ผ่าน โดนปฏิเสธ (เราอาจจะยื่น
เรื่องอุทรขอใหม่ได้ แต่ออนไม่แน่ใจในขั้นตอนนี้ ว่าที่เค้าปฏิเสธ เพราะเอกสารไม่พอ
หรือยังไง
ถ้าเอกสารไม่พอ อาจจะอุทร ขอนำเอกสารมาเพิ่ม แต่ถ้าเค้าปฏิเสธ เพราะ
เหตุผลที่เราจะไป หรือสถานที่ๆเราจะไปมันดูไม่ Make sense อันนี้น่าจะยาก และ
ต้องรอประมาณ 1 ปีขึ้นไป ถึงจะไปยื่นเรื่องได้ใหม่ค่ะ) หลังจากที่ได้ซองแล้ว ข้างหน้า
ห้องจะมีไปรษณีย์ เราก็ยื่นเอกสารให้ พร้อมจ่ายเงิน 80 บาท ค่าซอง ก่อนจะกรอกที่
อยู่ให้เรียบร้อย เป็นภาษาอังกฤษบนหน้าซอง และนำไปให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์อีกรอบ
โดยเจ้าหน้าที่จะนำพาสปอร์ต เอกสารสำคัญต่างๆ เราใส่ไปในซองค่ะ
หลังจากนั้นไม่เกิน 3 วัน ซองนี้จะส่งมาถึงบ้านเรา พร้อม VISA และอีกสารอื่นๆ
เมื่อได้แล้ว ให้เช็คความถูกต้อง เรียบร้อยให้ดี หลังจากนั้นก็เตรียมไปเที่ยวได้เลยค่ะ
ประสบการณ์การสัมภาษณ์ของออน : พอถึงคิว ออนก็เดินไปตรงช่องสัมภาษณ์
โดยเจ้าหน้าที่ที่สัมภาษณ์ออนเป็นผู้หญิงเอเซียค่ะ แต่ออนไม่รู้ว่าเป็นชาติอะไร ก็เริ่ม
จากการทักทายกันเป็นปกติ โดยออนเลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษ (ซึ่งสำหรับวีซ่า
ท่องเที่ยว ถ้าพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ หรือเป็นคนสูงอายุ เจ้าหน้าที่จะพูดไทยด้วย แต่
ถ้ามาขอวีซ่านักเรียน แล้วภาษาอังกฤษไม่ดี ออนว่าก็แอบเสี่ยงนะ เพราะเค้าก็ต้อง
มองนิดนึงว่าจะไปเรียนไหวมั้ย ยิ่งถ้าจะไปเรียนพวกไฮสคูล หรือมหาลัย แต่ถ้า
ไปเรียนพวกโรงเรียนภาษาคงไม่เป็นอะไร)
เจ้าหน้าที่ : Why do you want to go to UCLA Extension?
ออน : Well, I have never been to America before and I think I need
to at least know about the country before I start studying for my Master
Degree. So, UCLA Extension is my good choice.
เจ้าหน้าที่ : Why do you want to study in Marketing program? Why
at UCLA Extension? I read your transcript..you graduated from
Bachelor of Arts in Language and Culture (อารมณ์เหมือนทำไมจะมา
เรียนมาเก็ตติ้ง ในเมื่อเรียนอักษรมา ทำหน้างงๆ แบบไม่เชื่อ)
ออน : The reason why I would like to study in Marketing program
is because I am now helping my family’s business in Marketing
department. But I really don’t have much basic knowledge about
Marketing since I am an Arts girl. So, I would like to extend my
knowledge in order to be able to work and help them.
เจ้าหน้าที่ : Oh, and you also studied Chinese? Why did you
choose to study Chinese?
ออน : Yes, I started studying Chinese when I got into Chulalongkorn
University. The reason why I studied is because Chinese is one of the most
useful languages in the world and my family also deals business with
Chinese people in Guangzhou. So, I think it’s better if I can communicate
with them in Chinese.
เจ้าหน้าที่ : Ni de Zhongwen zenme yang? (โอ้แม่เจ้า…เจ้าหน่าที่ออนเป็นคนจีน!!!
นางรัวภาษาจีนมาใส่ กะว่าแบบ ถ้าออนหลอกเค้า เค้าก็จะจับไต๋ออนได้ เพราะเค้ามา
ถามว่า ภาษาจีนของออนเป็นยังไงบ้าง)
ออน : Wo de Zhongwen bu tai hao. Hen nan. (ออนช็อกไป 3 วิ ก่อนจะเรียบ
เรียงและตอบกลับไปว่าภาษาจีนของชั้นยังไม่ดี มันยากมาก…) I also went to do
an internship in Beijing for 2 months in Marketing department so ..
เจ้าหน้าที่ : Okay (พูดสั้นๆ งงๆ)
ออน : So … do I get my visa? (ถามแบบงงๆ)
เจ้าหน้าที่ : Yes sure
ออน : Xie xie nin (ขอบคุณมากๆค่ะ)
โอ้แม่เจ้า..นั่นคืออะไร?????? บอกเลย อย่าคิดจะหลอกเจ้าหน้าที่ เพราะบางที
จะเจอคำถามแบบไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันรู้ตัวขึ้นมาได้ มีผู้หญิงข้างหน้าออนคนนึง
เจ้าหน้าที่ถามว่า คุณกรอกใบสมัครเองรึเปล่า (กรอกในเว็บ) ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า
ใช่ กรอกเอง เจ้าหน้าที่ถามย้ำอีกคร้ง ผู้หญิงยังยืนยันคำเดิม และเจ้าหน้าที่เลย
พูดว่า คุณบอกว่าคุณกรอกเอง แต่ในแบบฟอร์ม คุณบอกว่าคุณไม่เคยเปลี่ยนชื่อ
แต่วันนี้คุณเอาเอกสารใบเปลี่ยนชื่อของคุณมา .. โอ้ แรง หลังจากนั้นก็ไม่รู้ิว่าเป็น
ยังไงบ้าง ดังนั้นจะบอกว่าเตรียมคำตอบไปให้ดีๆ คิดดีๆ ให้รอบคอบก่อนตอบค่ะ
เพราะทุกคำที่หลุดไปมีผลมากๆกับ VISA ของเรา
ออนรู้เลยว่าเค้าไม่ได้ดู Statement หรืออะไรชองออน แต่เค้าสงสัยว่าทำไม
ออนเรียนจบอักษรมาแล้วจะต่อมาเก็ตติ้ง แล้วถ้าจะต่อ ทำไมไม่เรียนต่อโทไปเลย
ทำไมมาเรียนเป็นคอร์ส 9-12 เดือนก่อน อะไรแบบนี้ เพราะคนไทยไม่ค่อยไปเรียนกัน
ซึ่งคำตอบของออน มันเป็นคำตอบจริงๆ ออนยังไม่เคยไปอเมริกา ออนยังไม่รู้ว่า
ชีวิตความเป็นอยู่ที่โน่นเป็นยังไง ออนไม่มีญาติที่นั่น ดังนั้นเพื่อความชัวร์ ออนก็
ต้องลงคอร์สไว้ก่อน ชอบไม่ชอบว่ากัน ไม่ใช่ว่าไปเรียน แล้วอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ไหว
ต้องกลับมา เสียเงิน เสียเวลาเปล่าๆ ซึ่งคำถามที่ถาม แต่ละคนจะเจอมากน้อย
ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ รวมถึงปัจจัยหลายๆอย่าง เช่นสถานๆที่เราไปเรียน รัฐ
คอร์สที่เรียน โปรแกรมที่จะลง อะไรแบบนี้ค่ะ
*วันนัดสัมภาษณ์ ถ้าหากยังเป็นนักเรียนอยู่ ควรแต่งชุดนักเรียนไป เพื่อความสุภาพ
เรียบร้อย แต่ถ้าหากทำงานแล้ว ควรสวมใส่ชุดที่สุภาพ ไม่ควรใส่ขาสั้น กระโปรงสั้น
รองเท้าแตะ เปิดส้นอะไรพวกนี้นะคะ ออนว่ารายละเอียดเล็กๆน้อยๆ มันมีส่วนหมด
และเราควรให้เกียรติสถานที่ราชการด้วยค่ะ*
—————————————————————————–
วันนี้ก็จบไปกับ Blog ที่แสนจะย๊าววววว ยาวววว ยาวววว ยาวววววว
ที่ตั้งใจเขียนมากๆ เพื่อสาวๆทุกคนค่ะ เพราะออนเคยมีประสบการณ์ไปอ่านมาแล้วงง
เพราะภาษาทางการเกิน บางทีก็ไม่ได้อธิบายว่าทำไมต้องขออันนี้ แล้วอันนี้มีไว้เพื่อไร
กว่าจะจับต้นชนปลายได้ ก็ใช้เวลากันไป ดังนั้นหวังว่า Blog นี้จะไขข้อข้องใจ และตอบ
คำถามสาวๆที่กำลังแพลนจะขอ VISA ไปเรียนต่อที่อเมริกานะคะ
ขอให้โชคดี ได้ VISA กันทุกคน
ท่องเที่ยวให้สนุก ปลอดภัยทั้งไปและกลับค่ะ
ถ้าหากคิดว่า Blog นี้เป็นประโยชน์ สามารถนำ Link ไปแชร์ หรือนำข้อความ
ไปแชร์ได้เลย เพียงแค่ขอให้เครดิตว่ามาจาก
www.onnbaby.com
www.facebook.com/onnbaby
Written By : Onnbaby