สวัสดีค่ะสาวๆทุกคน
วันนี้กลับมาเขียน Blog ในวันเสาร์ วันหยุดสบายๆ ให้อ่านกันนะคะ
ออนก็พึ่งหายจากไม่สบาย ใจจริงตั้งใจจะเขียน Blog นี้ให้อ่านกันตั้งแต่ระหว่าง
อาทิตย์แล้ว แต่พอไม่สบาย ก็ไม่อยากทำอะไร ทานยา แล้วก็อยากนอนพัก กลิ้งไปกลิ้งมา
เลยหมักหมมความขี้เกียจมาถึงวันนี้ค่ะ
เอาหละวันนี้ออนจะมาเขียน Blog ที่ต่างออกไปจากทุกๆครั้งนะคะ เพราะวันนี้จะมาเขียน
Blog เกี่ยวกับ “ขั้นตอนการยื่นเอกสารขอวีซ่าไปประเทศอเมริกา ประเภทท่องเที่ยว และนักเรียน
ให้สาวๆอ่านกัน เพราะเนื่องมาจากว่าออนมีแพลนจะไปเรียนต่อที่อเมริกาปลายปีนี้ที่ UCLA
ในส่วนของ Marketing และคุณแม่ออนจะบินไปส่ง พร้อมดูความเรียบร้อย ดูสถานที่พัก
ดูโรงแรมให้สบายใจกับออน ดังนั้นออนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวให้คุณแม่
และขอวีซ่านักเรียนสำหรับตัวออนเอง สำหรับตัวออนเอง ออนไม่เคยไปอเมริกามาก่อน ทำให้ไม่
เคยรู้รายละเอียดต่างๆเลย เน้นว่าไม่รู้เลย!!!! อย่างตอนที่ไปเรียนที่ออสเตรเลียช่วง High School
ทางผู้ใหญ่เป็นคนจัดเตรียมเอกสารให้หมด รู้ตัวอีกทีก็แพ๊คกระเป๋า ไปสนามบิน แต่คราวนี้ออนโต
ขึ้นมาอีกขั้นแล้ว เรียนจบแล้ว และกำลังจะไปเรียนต่อ ในการเตรียมตัวครั้งนี้ ออนเลยต้องจัดการเองค่ะ
มาเริ่มกันเลย ออนตั้งใจจะเขียน Blog นี้ขึ้นมาให้สาวๆอ่าน เพื่อความเข้าใจง่ายๆ พูดคุยกันแบบภาษา
ผู้หญิงๆ ไม่เน้นแนววิชาการหรือศัพท์ที่เข้าใจยากๆ เพราะออนเชื่อว่าหลายๆคนที่ไม่เคยขอวีซ่าไป
อเมริกามาก่อน เวลาเข้าไปอ่านรายละเอียด ขั้นตอนต่างๆในเว็บไซต์ อาจจะงงกันได้ เพราะบางที
ศัพท์วิชาการ ศัพท์จริงจังมาก วันนี้เลยอยากเขียนแบบง่ายๆ เน้นเข้าใจกัน พร้อมรูปค่ะ
มาดูกันเล้ยยยยยยยยยยยยยยยย!!!
*คำแนะนำ : ควรเตรียมเอกสารให้พร้อมที่สุด ครบที่สุด กันไว้ดีกว่าพลาด เพราะถ้าหาก
เอกสารไม่ครบ เอกสารผิดพลาด เราอาจจะอดได้วีซ่าค่ะ และถ้าจะต้องไปอุทรเรื่อง
เพื่อขอยื่นเอกสารเพิ่ม ก็อาจจะต้องใช้เวลา ดังนั้นเตรียมให้พร้อม เยอะที่สุด ถูกต้องที่สุด
ควรเช็คซ้ำไปซ้ำมา ออนเช็คเอกสารประมาณ 5 รอบ หรือมากกว่านั้น อ่านทุกหน้า เช็ค
ทุกตัว เพื่อให้มั่นใจว่าเราไม่ได้ขาดอะไรไป ที่สำคัญจะใช้ไม่ใช้ค่อยว่ากัน*
—————————————————————————–
การเตรียมพร้อมสำหรับการขอ VISA ประเภทนักท่องเที่ยว ชั่วคราว
(เวลากรอกเลือกประเภทในเว็บ สำหรับนักท่องเที่ยวชั่วคราวจะเป็นแบบ B2 ค่ะ
ลองดูได้ในช่องที่ให้เลือก)
1. ควรเตรียมเอกสารให้พร้อมที่สุด
(หน้าตาเว็บ ก่อนอื่นเข้าไปก็เลือกสถานที่เลยค่ะ ตามรูปเลย)
2. การยื่นเรื่องขอวีซ่านั้น ต้องยื่นผ่านเว็บไซต์เท่านั้น ไม่มีการยื่นที่
สถานทูต ต้องยื่นผ่านเว็บไซต์นี้ก่อนนะคะ
( https://ceac.state.gov/genniv/ ) โดยแบบ Form ของ Visa นี้จะเป็น
แบบฟอร์มชื่อ DS-160 (ในกรณีที่ใครเคยอ่านเจอแบบฟอร์ม DS155-156 อะไรพวกนี้
ตอนนี้ยกเลิกหมดแล้วนะคะ แบบฟอร์มอัพเดทใหม่ล่าสุดคือ DS-160 เท่านั้นค่ะ) ซึ่ง
เราควรมีเอกสารพร้อมในมือ เพราะจะมีคำถามถามเรามาเยอะมากกกกก และเราจะ
ต้องพร้อมตอบได้ เพราะถ้าหากทิ้งเพจไว้นานเกินกี่นาที มันจะให้เริ่มใหม่อะไรแบบี้ค่ะ
ดังนั้นต้องพร้อมฝุดๆๆ ที่สำคัญเตรียมรูปสำหรับอัพโหลดให้พร้อม กรอกข้อมูล
ลงไปตามความเป็นจริง เพราะไม่งั้นวันสัมภาษณ์เค้าสุ่มถาม เดี๋ยวจะช็อกได้ค่ะ
(หน้าตาใบคอนเฟิร์มหลังจากขอยื่นเรื่องวีซ่าออนไลน์ เราต้องปริ้นท์ใบนี้มาค่ะ)
3. เมื่อกรอกข้อมูลทุกอย่างในเว็บด้านบนเรียบร้อยแล้ว ทำอะไรต่อ?
เราจะต้องปริ้นท์ใบ Confirmation ไป เพื่อไปซื้อ Pin Number ที่ไปรษณีย์ไทย
โดยราคาอัพเดทล่าสุดปี 2556 อยู่ที่ 360 บาท ต่อ 1 Pin
4. Pin Number คืออะไร? ซื้อทำไม?
Pin Number ซื้อเพื่อจะนำรหัสพิน ไปจองวันนัดสัมภาษณ์ ซึ่งหมายความว่า
การที่เรายื่นสมัครในเว็บไซต์ข้างบนนั้น เป็นแค่การยื่นเรื่องเข้าไป ไม่ได้หมาย
ความว่าเราจะได้ แต่เราจะต้องใช้ Pin Number นี้ เพื่อนัดวันสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง
อีกที่ที่สถานทูตอเมริกา โดย 1 Pin Number สามารถใช้ได้ถึง 4 คน แต่จะต้องเป็น
คนที่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกัน เช่น พ่อ แม่ ลูกคนโต และลูกคนเล็ก
(เข้ามาหน้าเว็บที่จะใส่พิน นัดวันสัมภาษณ์ ให้ไปตรงวงกลม
เพื่อสมัคร Username ก่อน แล้วพอได้ Username ถึงจะมาใส่ตรงช่อง
ข้างล่างค่ะ)
5. หลังจากซื้อ Pin Number มาแล้ว จะนัดวันสัมภาษณ์ได้จากที่ไหน?
หลังจากซื้อ Pin Number มาแล้ว จะยังไม่สามารถใช้ได้ทันที !!! เน้นว่ายังใช้ไม่ได้ !!!!
จะต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ หลังจาก 13.00 (หรือบ่ายโมงตรงเป็นต้นไป) พินนี้ถึงจะสามารถใช้
งานได้ สมมิตออนซื้อพินวันจันทร์ที่ 25 รหัสพินของออนจะสามารถใช้ เพื่อนัดวันสัมภาษณ์
ได้ในวันอังคารที่ 26 ตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป แบบนี้ค่ะ เว็บไซต์สำหรับนัดวันสัมภาษณ์คือ
( https://thailand.us-visaservices.com/Forms/SelfServiceLogin.aspx )
(ใบคอนเฟิร์มการนัดวันสัมภาษณ์ VISA หน้าตาแบบนี้ค่ะ ปริ้นท์เผื่อไปเลย)
6. หลังจากนัดวันสัมภาษณ์แล้ว เราจะต้องทำอะไรต่อ?
หลังจากนัดวันสัมภาษณ์แล้ว เราจะต้องไปจ่ายเงินค่าวีซ่าที่ไปรษณีย์ (เหมือนเดิมค่ะ)
ซึ่งเน้นนนนน!!!!!! ว่า “ไม่สามารถไปจ่ายค่าวีซ่าที่สถานทูตนะคะ ไม่ได้นะคะ ไม่ได้!!!”
ต้องทำการจ่ายเงินค่าวีซ่าที่ไปรษณีย์เท่านั้น โดยเราไปบอกทางไปรษณีย์ว่าเรามา
ขอจ่ายค่าวีซ่า และบอกประเภทวีซ่าของเราไป ทางไปรษณีย์จะให้เรากรอกแบบฟอร์ม
โดยค่าวีซ่าประเภทท่องเที่ยว และนักเรียน อัพเดทล่าสุดปี 2556 อยู่ที่ 4800 บาท/ คน ค่ะ
7. จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ทำอะไรต่อ?
เก็บไปเสร็จไว้ให้เรียบร้อย พร้อมใบคอนเฟิร์มการยื่นขอวีซ่า ไปคอนเฟิร์มวันนัด
พวกนี้สำคัญมาก ตอนนี้ก็เตรียมเอกสารให้พร้อม เช็คแล้วเช็คอีก เช็คให้ถี่ถ้วน
เช็คซ้ำๆ หลายๆรอบ เพื่อความถูกต้อง และเตรียมตัวรอวันสัมภาษณ์ โดยเน้นว่า
ควรเก็บเอกสารใส่แฟ้มไว้ เพื่อความปลอดภัย และวันสัมภาษณ์ควรไปถึงสถานทูต
ก่อนเวลานัดอย่างน้อง 30 นาที (หรือครึ่งชั่วโมง) เพราะไม่งั้นคิวจะเยอะมาก คนจะ
รอกันนานมาก
เอกสารสำหรับการขอวีซ่าชั่วคราว ประเภทท่องเที่ยว ไปอเมริกา (B2)
(วงกลมแรกคือส่วนที่เราสามารถทดลอง Test อัพโหลดรูปของเราเข้าไปดูค่ะ
ว่ารูปของเราได้ผ่านมาตรฐานมั้ย ผ่านมั้ย เพราะถึงเวลาที่ต้องอัพโหลดรูปจริงๆ
ถ้ารูปไม่ผ่าน ขั้นตอนที่ทำมาเกือบทั้งหมดจะไม่สูญเปล่าค่ะ)
1. รูปถ่ายขนาด 2×2 นิ้ว โดยไปที่ร้านและบอกว่า “ถ่ายรูปติดบัตรสำหรับขอวีซ่าอเมริกา”
ทางร้านจะรู้เลย ว่าจะต้องเป็นขนาด 2×2 นิ้ว, ฉากหลังสีขาว, เก็บผมให้เรียบร้อย ห้ามมีผม
มาปรกหน้า, ต้องเห็นหน้าชัดเจน ที่สำคัญ “ต้องเปิดหู เห็นหูอย่างชัดเจน” ใครหูพับ แนะนำให้
ทางร้านใช้ “เทคนิค 3 ช็อต) คือถ่ายด้านข้างสุด ด้านข้างกลาง และหน้าตรง ทั้งด้านซ้าย
และขวา หลังจากนั้นเอารูปมาตัดต่อกัน จะได้รูปที่ “หน้าตา พร้อมเห็นหูชัดเจน” ค่ะ
เคล็ดลับนี้ออนทำมาเอง เพราะว่าหูออนไม่กาง พอถ่ายยังไงก็ไม่เห็นหูซะที กลัว
ไม่ผ่าน เลยทำแบบนี้ซะเลย นอกจากนี้รูปจะต้องเป็นรูปที่ถ่ายไม่เกิน 6 เดือนค่ะ และบอก
ทางร้านเลยว่าให้ทางร้าน Scan ไฟล์รูปให้ลง Thumb drive หรือซีดี อะไรก็ได้ โดยย่อ
ขนาดให้เล็กลง ถ้าจำไม่ผิด ห้ามเกิน 200KB หรือเท่าไหร่เนี่ยแหละค่ะ เพราะเราจะต้อง
ใช้รูปนี้ในการอัพโหลดลงเว็บตอนเรายื่นขอวีซ่าด้วย ดังนั้นเตรียมไว้เลย
2.บัตรประชาชนตัวจริง และสำเนาบัตรประชาชน
อันนี้ไม่แน่ใจว่าต้องเซ็นสำเนาถูกต้องรึเปล่า แต่เอกสารที่เป็นสำเนา ออนเซ็นสำเนาถูก
ต้องไว้ทุกใบ เพื่อความชัวร์และความปลอดภัย เช่น “สำเนาถูกต้องสำหรับใช้ขอวีซ่า
ไปอเมริกา ประเภทนี้ ประเภทนั้นเท่านั้น” ประมาณนี้ค่ะ
3. Passport ตัวจริง และสำเนา Passport
โดย Passport ตัวจริงที่มีอายุใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และถ้าหากมี Passport เล่ม
เก่าๆสามารถเอามาเป็นหลักฐานเพิ่มเติมได้ด้วย ในกรณีที่เจ้าหน้าที่อยากเช็คประวัต
ต่างๆ เพราะการขอวีซ่าไปอเมริกาค่อนข้างยาก บางทีเค้าก็อยากรู้ว่าเราเคยเดินทาง
ท่องเที่ยวมาก่อนมั้ย หรือยังไง เพราะอย่างที่ทราบกัน คนจากทั่วโลก ก็อยากจะไป
อเมริกา หลบไปทำงานแบบผิดกฏหมาย ทำให้เค้าเคร่งมากในเรื่องนี้
4. แบบฟอร์มสมัคร VISA DS-160 (แบบฟอร์มคอนเฟิร์มที่เราสมัครในเว็บตอนแรก)
5. ใบเสร็จค่าสมัคร VISA (ที่เราไปจ่ายมาที่ไปรษณีย์ 4800 บาท)
6. ใบคอนเฟิร์มนัดสัมภาษณ์ (หลังจากที่เราใช้ Pin Number กรอกเพื่อนัดวันสัมภาษณ์ไป
พอนัดได้แล้ว ก็จะมีแบบฟอร์มคอนเฟิร์มมา เราปริ้นท์ใบนี้มา และเอามาด้วยค่ะ สำคัญมาก)
7. ทะเบียนบ้านตัวจริง พร้อมสำเนาทะเบียนบ้าน
8. หนังสือรับรองจากที่ทำงานตัวจริง พร้อมสำเนา
ในกรณีที่เราเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว เราควร (แนะนำว่าสำคัญ เพื่อมันทำให้ดูน่าเชื่อถือ
ยิ่งบริษัทใหญ่ บริษัทฝรั่ง ยิ่งทำให้เครดิตดี ดูเหมือนว่ายังไงก็ไม่กล้าหนี Visa ต้องกลับมา
ไทนตามกำหนดแน่นอน เพราะคนอเมริกาจะกลัวมากกับการที่คนขอวีซ่า แล้วหนีวีซ่า เพื่อ
ไปทำงาน หาเงินในประเทศเค้า และไม่ยอมกลับมาประเทศของตนเอง ดังนั้นสิ่งที่เค้า
ต้องการมากคือ เอกสารยืนยันที่เขียนว่าเรายังมีพันธะกับงานในประเทศของเรา อะไรแบบนี้ค่ะ)
ซึ่งในหนังสือรับรองจากที่ทำงานควรจะมีสิ่งเหล่านี้ระบุเข้าไป : ชื่อ-นามสกุล, ตำแหน่ง, เงินเดือน
(อันนี้อาจจะไม่จำเป็น แต่ถ้าเงินเดือนเยอะ ใส่ไปก็ไม่เสียหายค่ะ), ระยะเวลาในการทำงานกับบริษัท
ว่าทำมากี่ปีแล้ว, ระยะเวลาที่ขอลาพักร้อน ว่าจะไปเที่ยวกี่วัน ตั้งแต่วันไหน ถึงวันไหน และจะกลับ
มาทำงานเมื่อไหร่ และเหตุผลที่จะไปในครั้งนี้คืออะไร เช่นเยี่ยมญาติ, ท่องเที่ยว, เจอเพื่อน
อย่างกรณีของคุณแม่ออน เหตุผลคือ ไปดูโรงเรียนให้ลูกสาว เป็นต้นค่ะ โดยเอกสารตัวนี้ต้องเป็น
ตัวจริงนะคะ เราแนบสำเนาไปด้วยก็ได้
9. สมุดบัญชีธนาคาร (Statement จากธนาคาร)
อันนี้มี 2 กรณีค่ะ คือ 1. กรณีสปอนเซอร์ตัวเอง 2. กรณีมีคนสปอนเซอร์
ซึ่งการสปอนเซอร์อันนี้คือการยืนยัน พิสูจน์ว่ามีเงินในบัญชีเพียงพอในการใช้ชีวิต ท่องเที่ยว
ไม่ว่าจะค่าเครื่องบิน ค่าที่อยู่ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เงินส่วนนี้จะสามารถ Cover ได้ ดังนั้น
แนะนำว่าเงินควรมีหลักแสนขึ้นไป (จริงๆมีคนบอกว่าเลขสวนหน่อยคือ 4-5 แสนในบัญชี
ที่กองไว้ เพื่อให้ดูว่าเราสามารถดูแลตัวเราเองได้) อะไรแบบนี้ค่ะ
สปอนเซอร์ตัวเอง
ซึ่งการขอ Statement จะต้องขอย้อนหลัง 3 เดือน ไม่ใช่ว่าเราจะขอ Statement จาก
ธนาคาร แล้วเราให้ใครมาโอนเงินก้อนให้เราวันนั้น อันนี้จะดูน่าสงสัยแน่นอน ว่าเงินใน
บัญชีไม่ได้มีอยู่แล้ว เป็นการโอนเข้ามากระทันหันเพื่อการนี้ วีซ่ามีสิทธิ์หลุดแน่นอน
Statement ที่ขอ เดี๋ยวนี้ทางธนาคารจะไม่ได้ระบุเป็นยอดเงินเท่าไหร่ โดยจะระบุเป็น
Low Medium High (Low = 1-2 ล้าน, Medium 3-4 ล้าน และ High 5-6 ล้านขึ้นไป)
อันนีื้คือสิ่งที่ออนถามธนาคารมา เพราะตอนแรกแอบงง และแนะนำว่า …
“ควรขอทั้งแบบภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ” เผื่อไว้ค่ะ อันนี้คือกรณีที่เราสปอนเซอร์
ตัวเองนะคะ
มีคนสปอนเซอร์
ส่วนกรณีที่อาจจะยังเรียนอยู่ และอยากไปเที่ยว แน่นอนว่าจะต้องมี “คนมาสปอนเซอร์เรา”
โดยส่วนมาก เอาให้ปลอดภัย ดูไม่น่าสงสัยก็คือ “คนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ หรือลุง ป้า
คุณตา คุณยาย” อะไรพวกนี้ค่ะ อย่าพยายามเอาญาติที่ห่างมากเกินไป เพราะโอกาสที่เค้า
จะสงสัยก็มีสูง ว่าเหมือนแบบญาติห่างๆ จะสปอนเซอร์ทำไม อะไรแบบนี้ แต่บางคนก็โชคดี
ที่สปอนเซอร์เป็นญาติห่างๆ และไม่มีปัญหา เพราะออนก็เคยเห็นญาติผู้ใหญ่ออนสปอนเซอร์
ญาติห่างๆ และเค้าได้วีซ่าค่ะ อันนี้ก็แล้วแต่ดวง แล้วแต่เจ้าหน้าที่ที่เราเจอ ซึ่งถ้าหากมีคน
สปอนเซอร์เรา เราจะต้องใช้ Statement ของสปอนเซอร์, หนังสือรับรองระบุความสัมพันธ์
กับสปอนเซอร์ (เดี๋ยวจะเขียนอธิบายเกี่ยวกับหนังสือรับรองระบุความสัมพันธ์), สำเนาบัตร
ประชาชนของสปอนเซอร์, หลักฐานการทำงานของสปอนเซอร์ และสำเนา Passport ของ
สปอนเซอร์ค่ะ
10. หนังสือการรับรองความสัมพันธ์ของ Sponsor
ในหนังสือควรเขียน ชื่อ-นามสกุลของสปอนเซอร์, ตำแหน่ง, หน้าที่การงานว่าทำที่ไหน
อะไรยังไง, เกี่ยวข้องอะไรกับตัวบุคคล และการยืนยันว่าสปอนเซอร์จะเป็นคนดูแลค่าใช้
จ่ายในการเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าอยู่ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ระหว่างการ
เดินทางและพักอาศํยอยู่ในประเทศอเมริกาค่ะ คร่าวๆจะเป็นแบบนี้
เอกสารหลักๆจะมีประมาณนี้ิ เยอะใช่มั้ย? เยอะมากกกกก T_T
เอกสารปึ๊งหนากว่าหนังสือเรียนอีก แต่ แต่ แต่..อย่าพึ่งดีใจไปว่ามันหมดแล้ว เพราะมันยัง
มีเอกสารยิบย่อยอีกค่ะ เช่น
11. ในกรณีที่เคยแต่งงาน และหย่า หรือคู่สมรสเสียชีวิตไปแล้ว
ควรนำไปหย่า หรือใบมรณะบัตรของคู่สมรสไปด้วย ตัวจริงก็ดี หรือจะเป็นสำเนาก็ได้
12. ในกรณีที่เคยเปลี่ยนชื่อ ไม่ว่าจะกี่ชื่อมาก่อน หรือนามสกุล
จะต้องนำไปเปลี่ยนชื่อ หรือใบเปลี่ยนนามสกุล ตัวจริงหรือสำเนาก็ได้ ไปด้วย เพื่อ
เป็นหลักฐาน หากเจ้าหน้าที่สงสัย ต้องการรู้ ก็จะได้มีหลักฐานค่ะ
13. ถ้าหากยังเป็นนักเรียนอยู่ และจะไปเที่ยวระหว่างปิดเทอม หรือวันหยุดยาว
ควรขอใบรับรองจากทางมหาวิทยาลัยไปด้วย เพื่อแสดงและพิสูจน์ให้เห็นว่าเรายัง
มีพันธะกับมหาลัยนั้นๆอยู่ และเราจะกลับมาเรียนที่มหาลัยนี้ตามกำหนด ซึ่งแบบฟอร์ม
พวกนี้ทางมหาวิทยาลัยจะมีเตรียมไว้ให้แล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง แนะนำว่าขอแบบภาษาอังกฤษ
ไปจะที่สุด
14. ในกรณีที่มี VISA อเมริกาอยู่แล้ว และยังไม่หมดอายุ โดย VISA อยู่ใน Passport
เล่มเก่าและหาย หรือหาไม่เจอ จะไม่สามารถไปขอ VISA ใหม่ได้เลย จะต้องไปแจ้งความที่
สถานที่ตำรวจก่อน เพื่อให้ตำรวจออกไปแจ้งความมาให้ และหลังจากนั้นเราถึงจะนำใบ
แจ้งความนี้ไปยื่นที่สถานทูตในวันนัดสัมภาณ์ อันนี้เห็นมากับตาว่ามีคุตณตาคนนึง ได้ VISA
ท่องเที่ยว 10 ปี ปรากฏว่า VISA อยู่ใน Passport เก่า และหายไปแล้ว แล้วมาขอใหม่ ทาง
เจ้าหน้าที่เค้าเช็คว่า VISA ยังไม่หมดอายุ ทำให้ขอใหม่ไม่ได้ ต้องไปแจ้งความก่อน และ
มานัดวันสัมภาษณ์ใหม่ค่ะ ดังนั้นเพื่อป้องกันการเสียเวลา ควรไปแจ้งความ ทำอะไรให้เรียบ
ร้อยก่อนค่ะ
—————————————————————————–
วัดนัดสัมภาษณ์
สถานทูตอเมริกา จะมี 2 ที่คือสถานทูตรเมริกาที่กรุงเทพ และเชียงใหม่ วันนี้จะมาพูด
ถึงที่กรุงเทพนะคะ สถานทูตอเมริกาในกรุงเทพตั้งอยู่กลางใจเมืองค่ะ คือ “ถนนวิทยุ”
สามารถนั่ง BTS ลงสถานทีเพลินจิต แล้วต่อพี่วินมอเตอไซเข้ามา หรือนั่งพี่แท็กซี่มาเลย
และส่งถึงหน้าสถานทูต แต่ถ้าใครเอารถมา ต้องหาที่จอดรถริมถนนแถวนั้นค่ะ เพราะที่
สถานทูตจะไม่มีที่จอดรถให้ วันนั้นออนเอารถไป ก็หาที่จอดริมถนน และต่อพี่วินเข้ามา
ที่อยู่ของสถานทูตค่ะ
สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
เลขที่ 120/22 ถนนวิทยุ กรุงเทพมหานคร 10330
โทรศัพท์ : +66-2-205-4000
เวลาราชการ: วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 07.00 – 16.00 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ
สถานกงสุลใหญ่ที่จังหวัดเชียงใหม่
387 ถนนวิชยานนท์
โทรศัพท์ :+66-53-107-700
เว็บไซต์
(อ้างอิงจากเว็บไซต์ : http://thai.bangkok.usembassy.gov/index.html )
โดยรอบสัมภาษณ์จะแบ่งเป็น 2 รอบคือ 1. รอบเช้า 2. รอบบ่าย
โดยรอบเช้าเวลาสัมภาษณ์คือ 9.00 น ดังนั้นควรไปถึงตั้งแต่ 8.30 น หรือก่อนหน้านั้น
เพื่อเตรียมเข้าคิว เพราะอย่างที่บอกคนเยอะจริง และรอบบ่ายถ้าจำไม่ผิดจะเริ่ม
13.00 ดังนั้นควรไปถึงตั้งแต่ 12.30 หรือก่อนเวลาค่ะ ไปก่อนดีกว่าไปช้าเสมอ
เสร็จแล้วพอเข้าคิว จนกระทั่งเข้าไปด้านใน เจ้าหน้าที่ก็จะให้ฝากของ
โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือจะต้องฝากไว้ ปิดเครื่องให้เรียบร้อย แต่สามารถนำกระเป๋า
และเอกสารเข้าไปได้ ซักพักพอเดินเข้าไป ก็จะเจอด่านที่ 1 ซึ่งด่านนี้จะตรวจความเรียบ
ร้อยของเอกสารเราก่อน โดยถามว่าเรามายื่นวีซ่าประเภทไหน อะไรแบบนี้ และขอดู
เอกสารหลักๆ และแยกเอกสารหลักๆออกมาให้เรา เสร็จแล้ว เราก็จะได้เบอร์คิวสำหรับ
สัมภาษณ์ เราก็จะเข้าไปนั่งรอข้างใน จนกระทั่งเมื่อถึงคิวเรา เราก็จะไปต่อแถว และ
เข้าไปในแต่ละช่องค่ะ
ในกรณีสำหรับ VISA ท่องเที่ยว มีคนบอกว่าจะขอยากกว่า
VISA นักเรียนหน่อย เพราะเหมือนกับว่ามันไม่ค่อยมีอะไรการันตี ดังนั้นเตรียมตัวให้ดี
กับคำถามที่เค้าจะถาม ในกรณีนี้คุณแม่ออน เคยไปเที่ยวอเมริกามาก่อนแล้วกับคุณตา
และคุณยาย คุณแม่ออนเลยไม่กลัว คุณแม่บอกว่าตอนไปสัมภาษณ์สบายมาก เพราะ
บริษัทที่คุณแม่ทำเป็นบริษัทใหญ่ เป็นบริษัทฝรั่ง ฝรั่งในนั้นทุกคนรู้จัก เค้าก็เลยคุยแบบ
เป็นกันเองสบายๆ และไม่ดูอะไรเลย ไม่แม้แต่จะดู Statement หรือใบรับรองต่างๆ
ซึ่งเมื่อเค้าบอกให้ไปซื้อซองที่ไปรษณีย์ หมายความว่า “VISA ผ่านค่ะ” ถ้าเค้ายื่น
Passport ให้ อันนั้นจะหมายความว่า VISA เราไม่ผ่าน โดนปฏิเสธ (เราอาจจะยื่น
เรื่องอุทรขอใหม่ได้ แต่ออนไม่แน่ใจในขั้นตอนนี้ ว่าที่เค้าปฏิเสธ เพราะเอกสารไม่พอ
หรือยังไง
ถ้าเอกสารไม่พอ อาจจะอุทร ขอนำเอกสารมาเพิ่ม แต่ถ้าเค้าปฏิเสธ เพราะ
เหตุผลที่เราจะไป หรือสถานที่ๆเราจะไปมันดูไม่ Make sense อันนี้น่าจะยาก และ
ต้องรอประมาณ 1 ปีขึ้นไป ถึงจะไปยื่นเรื่องได้ใหม่ค่ะ) หลังจากที่ได้ซองแล้ว ข้างหน้า
ห้องจะมีไปรษณีย์ เราก็ยื่นเอกสารให้ พร้อมจ่ายเงิน 80 บาท ค่าซอง ก่อนจะกรอกที่
อยู่ให้เรียบร้อย เป็นภาษาอังกฤษบนหน้าซอง และนำไปให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์อีกรอบ
โดยเจ้าหน้าที่จะนำพาสปอร์ต เอกสารสำคัญต่างๆ เราใส่ไปในซองค่ะ
หลังจากนั้นไม่เกิน 3 วัน ซองนี้จะส่งมาถึงบ้านเรา พร้อม VISA และอีกสารอื่นๆ
เมื่อได้แล้ว ให้เช็คความถูกต้อง เรียบร้อยให้ดี หลังจากนั้นก็เตรียมไปเที่ยวได้เลยค่ะ
*วันนัดสัมภาษณ์ ถ้าหากยังเป็นนักเรียนอยู่ ควรแต่งชุดนักเรียนไป เพื่อความสุภาพ
เรียบร้อย แต่ถ้าหากทำงานแล้ว ควรสวมใส่ชุดที่สุภาพ ไม่ควรใส่ขาสั้น กระโปรงสั้น
รองเท้าแตะ เปิดส้นอะไรพวกนี้นะคะ ออนว่ารายละเอียดเล็กๆน้อยๆ มันมีส่วนหมด
และเราควรให้เกียรติสถานที่ราชการด้วยค่ะ*
—————————————————————————–
วันนี้ก็จบไปกับ Blog ที่แสนจะย๊าววววว ยาวววว ยาวววว ยาวววววว
ที่ตั้งใจเขียนมากๆ เพื่อสาวๆทุกคนค่ะ เพราะออนเคยมีประสบการณ์ไปอ่านมาแล้วงง
เพราะภาษาทางการเกิน บางทีก็ไม่ได้อธิบายว่าทำไมต้องขออันนี้ แล้วอันนี้มีไว้เพื่อไร
กว่าจะจับต้นชนปลายได้ ก็ใช้เวลากันไป ดังนั้นหวังว่า Blog นี้จะไขข้อข้องใจ และตอบ
คำถามสาวๆที่กำลังแพลนจะขอ VISA ไปท่องเที่ยวที่อเมริกานะคะ
ขอให้โชคดี ได้ VISA กันทุกคน
ท่องเที่ยวให้สนุก ปลอดภัยทั้งไปและกลับค่ะ
ถ้าหากคิดว่า Blog นี้เป็นประโยชน์ สามารถนำ Link ไปแชร์ หรือนำข้อความ
ไปแชร์ได้เลย เพียงแค่ขอให้เครดิตว่ามาจาก
www.onnbaby.com
www.facebook.com/onnbaby
Written By : Onnbaby
เท่านี้ค่ะ
ขอบคุณค่า เดี๋ยวจะมาต่อกันที่ Blog ขอวีซ่าไปเรียน
ดังนั้นเจอกันเร็วๆนี้นะคะ