สวัสดีค่าเพื่อนๆพี่ๆ
บอกเลยว่าBlogนี้ออนตั้งใจเขียนส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2016 มากๆ
เพราะเป็น Blogที่ออนตั้งใจ และพยายามรวบรวมทุกอย่างไว้ให้มากที่สุด
เผื่อว่าหลังจากอ่าน Blogนี้แล้ว จะมีใครได้แรงบันดาลใจในการทำอะไรมากขึ้น
บอกไว้ก่อนว่า Blog นี้จะยาวมากนะคะ
แต่อยากให้ลองอ่านกันแบบละเอียดจริงๆ
หลังจากที่ออนได้พูดถึงตัวเองในฐานะ
“ผู้หญิงอายุ 24 กับรายได้ 4 ทาง จำนวน 6 หลักต่อเดือน” ไป ก็มีสาวๆสนใจ
กันเป็นจำนวนมาก และฝากคำถามกันมาเยอะ ดังนั้นออนจะมาเริ่มเล่าแต่ละอย่าง
แบบละเอียดๆกันเลยค่ะ
———————————————
ก่อนอื่น..อยากจะท้าวความกลับไปว่าตั้งแต่เด็กๆแล้ว ที่บ้านออนจะ
สนับสนุนด้านการเรียนมาก โดยทั้งฝั่งคุณพ่อ–คุณแม่จะผลักดันเต็มที่
ในเรื่องของการเรียน ดังนั้นออนจึงโชคดีที่มีโอกาสได้เรียนโรงเรียนที่ดี
มีชื่อเสียง ได้เจอเพื่อนฝูง สังคมดี และได้มีโอกาสไปเรียนต่อต่างประเทศ
ตั้งแต่เด็กๆ
ออนเริ่มเรียนอนุบาลจนถึงมอต้นที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
โรงเรียนหญิงล้วนกระโปรงแดงๆนั่นเอง และได้ไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย
ในช่วง Year 10 – Year 12 หลังจากนั้นจึงได้กลับมาเรียนต่อที่ประเทศไทย
ที่คณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ โทภาษาจีน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(หลักสูตรนานาชาติ) และไปต่อยอดความรู้ด้าน Marketing ต่อที่
UCLA (University of California, Los Angeles) ประเทศอเมริกา
และจึงกลับมาทำธุรกิจอย่างเต็มตัว
จริงๆแล้วจุดพลิกผันมันอยู่ที่ตอนออนจะเรียนจบ ที่บ้านอยากส่งให้
ไปเรียนต่อที่อื่น หรือทำงานช่วยธุรกิจที่บ้าน แต่ว่าตอนนั้นมีเหตุผล
ส่วนตัว บวกกับความดื้อของตัวเอง เลยตัดสินใจไปเรียนต่อที่ UCLA
อย่างที่บอกด้านบน ดังนั้นนอกจากค่าเรียน 2 เทอมแล้ว ค่าเรียนเทอม
อื่นๆ ค่าใช้จ่าย กินอยู่ทุกอย่าง ออนรับผิดชอบตัวเองหมด เรียกว่า
เก็บเงิน 1 ปีเต็มๆ ได้เกือบ 7 หลัก เพราะดื้อดึงอยากไปเรียนที่นั่น
(ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง) และพอกลับมาไทย .. มันมีอะไรเปลี่ยนไป
ไม่ได้เป็นอย่างที่ฝัน อย่างที่หวังไว้ มันทำให้ออนรู้สึกว่า ถ้าออน
ไม่สู้ ไม่พิสูจน์ตัวเองให้เห็น ออนก็จะทำให้ครอบครัวต้องเสียใจอีก
เหมือนตอนที่ออนดื้อ และไม่ยอมไปเรียน หรือช่วยงานที่บ้านแต่แรก
“ดังนั้นถ้าจะดื้อแล้ว ต้องเอาตัวให้รอด ต้องพิสูจน์ให้ผู้ใหญ่เห็น
ต้องทำให้ผู้ใหญ่ภูมิใจว่าเราทำได้ ไม่ใช่ดื้อแล้ว สุดท้ายต้องกลับมาตายรัง..”
ตอนนี้ออนอายุ 24 ปี กำลังจะครบ 25 ในไม่กี่วัน
ในตอนนี้มีรายได้รวมทั้งหมด 4 ทาง รายรับ 6 หลักต่อเดือน และเงินเก็บ
จำนวน 6 หลัก (ใจจริงอยากมี 7 หลักไวๆ) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเงินที่ออนหามา
ได้ด้วยตัวเอง น้ำพักน้ำแรงล้วนๆ พูดง่ายๆคือตั้งแต่เรียนจบจากจุฬามา
ออนไม่ได้ขอเงินที่บ้านแม้แต่บาทเดียว ทุกบาททุกสตางค์ที่ใช้
ก็คือทุกบาททุกสตางค์ที่ออนหามาเอง แถมตอนนี้พอเรียนจบ
จากอเมริกามาแล้ว รายได้มากขึ้น ออนก็ตอบแทนผู้ใหญ่ที่บ้าน
ด้วยการให้เงินท่านทุกเดือน หักจากรายได้ที่ออนไป หรือช่วยดูแล
ค่าใช้จ่ายที่บ้าน (ชอบเปิดแอร์เยอะ เลยจ่ายค่าไฟซะเลย)
เพื่อตอบแทนที่ครอบครัวออนดูแลออนมาตลอด
จะเป็นยังไง
ลองมาอ่านกันเลยค่ะ
———————————————
1. แบรนด์สกินแคร์ Flawless Me
ตอนช่วงเรียนมหาลัยประมาณปี 2 ปี 3 ตอนนั้นเริ่มคิดว่าถ้าจบไปจะทำอะไรดี
จะทำงานบริษัทอะไร ที่ไหน จะช่วยงานที่บ้านต่อ หรืออะไร เรียกว่าเป็นช่วง
หัวเลี้ยวหัวต่ออีกหนึ่งช่วงในชีวิต จนกระทั่งช่วงนั้นคุณยายกำลังต้องการ
ขายคอนโดที่เคยให้เช่า เพราะว่าคุณยายเริ่ีมอายุมาแล้ว และเหนื่อยที่จะ
ต้องคอยขับรถไปดูแล ไปตรวจตราต่างๆ ดังนั้นออนเลยรับจ๊อบ
เป็นนายหน้า ช่วยหาคนซื้อคอนโดให้ โดยคุณยายจะให้เป็นค่าคอมมิชชั่น
ดังนั้นออนเลยคิดว่าถ้าออนขายได้ ออนก็จะได้เงินก้อน เพื่อนำมาลงทุน
ในการทำอะไร
แต่ว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด..การที่จะขายคอนโดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะคอนโดใหม่ๆผุดขึ้นทุกวัน การแข่งขันก็สูงมาก และเราต้องหาวิธี
ในการลงประกาศให้คนเห็นมากที่สุด และให้เค้าตัดสินใจซื้อ ออนใช้เวลา
ถึง 2 ปี กว่าจะได้ผู้ซื้อคนใหม่ที่ตัดสินใจซื้อ ในระยะเวลาที่รอขายนั้น
เรียกว่าวิ่งพาลูกค้ามาดูคอนโดไม่ต่ำกว่า20-30 รายเลยทีเดียว
ในที่สุดเงินก้อนแรกก็มา..
ด้วยความที่เป็น Beauty Blogger อยู่ก่อนแล้ว ทำให้ออนได้ทดลอง
ผลิตภัณฑ์อะไรมาเยอะมาก และพอจะเข้าใจว่า “คนไทย” ต้องการอะไร
ชอบอะไร ดังนั้นออนเลยคิดว่า “เราควรเริ่มจากสิ่งที่เรารัก และเราถนัด
..แน่นอนว่าไม่พ้นเรื่องความสวยความงาม”
ดังนั้นแบรนด์ Flawless Me จึงเริ่มขึ้่นค่ะ
ออนใช้เวลาในการเตรียมงาน หาข้อมูล พัฒนาสูตรกับนักเคมี
จัดการเอกสาร อย. ทดลองต่างๆประมาณ 6 เดือน ก่อนที่จะออกผลิตภัณฑ์
ตัวแรก และตัวที่สองมา .. จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ครบ 2 ปีแล้ว
ทุกวันนี้แบรนด์ของออนมีขายทั้งทางออนไลน์ หน้าร้านต่างๆ รวมถึง
ในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง บอกเลยว่ารู้สึกดีใจมากๆ ไม่เคยคิดว่า
วันนึงเราจะมีแบรนด์สกินแคร์ของตัวเอง แถมมีวางขายในห้าง
มีช่วงที่พีคมาก ขายดีจนของหมด ขาดสต๊อก มีลูกค้าที่น่ารัก ซื้อไป
แล้วชอบ ก็บอกต่อ แนะนำ แถมยัง Review ลงเว็บนั้นเว็บนี้ให้อีก
ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆค่ะ
แน่นอนว่าทุกวันนี้..ออนยังคงดูแล Instagram, Facebook
และ Website ของ Flawless Me เองทั้งหมด และเป็นผู้ตอบข้อความ
รับออเดอร์ลูกค้าเอง เพราะออนต้องการรับรู้ Feedback จากลูกค้า ถึงจะเหนื่อย
แต่บอกเลยว่ามันคุ้ม
และนี่คือรายได้ทางแรกของออนค่ะ ..
———————————————
2. แบรนด์ขนตาปลอมขนมิ้งค์ OnnbabyLashes
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 3-4 ปีก่อน พี่นุ่น เจ้าของแบรนด์ขนตาปลอม
NessyChoice ได้ติดต่อส่งขนตาปลอมมาให้ออนทดลองใช้
หลังจากนั้นเลยเริ่มรู้จักกัน คุยกัน และสนิทกัน จนกระทั่งช่วงที่ออน
ไปเรียนต่อที่อเมริกา ก็ยังมีการพูดคุย ติดต่อกันอยู่เสมอ ไม่เคยขาด
พี่นุ่นเป็นเหมือนพี่สาวคนโต ที่อารมณ์เย็นมาก นิ่งมาก และใจดีมาก
บอกเลยว่าหน้ามือกับหลังมือมากๆ เพราะออนใจร้อนยังกับไฟโดนน้ำมันราด
ดังนั้นพี่นุ่นจะคอยให้คำปรึกษาทั้งเรื่องส่วนตัว และเรื่องธุรกิจ การทำงานมาตลอด
จนกระทั่งช่วงกลางปี 2014 พี่นุ่นกำลังอยากขยายกลุ่มลูกค้า เลยสนใจ
ขนตาปลอมขนมิ้งค์ ตอนแรกก็ปรึกษากัน ออนช่วยออกแบบ เลือกแบบ
ต่างๆ จนไปๆมาๆ จับมือทำร่วมกัน โดยออนอยู่ในฐานะ Co-Founder และ Designer
เปิดตัวมาแบบสวยๆในชื่อ OnnbabyLashes
จำได้ว่าเริ่มวางขายช่วงธันวา ปี 2014 ถ้านับๆตอนนี้ก็น่าจะครบ 1 ปีได้แล้ว
บอกเลยว่าตั้งแต่ทำงานร่วมกับพี่นุ่นมา ไม่เคยทะเลาะ ไม่เคยมีปัญหาขัดใจกัน
ขุ่นเคืองใจกันเลย พี่นุ่นเป็นพี่สาวที่น่ารัก ดูแลกันเหมือนพี่เหมือนน้อง
เหมือนคนในครอบครัว และออนดีใจมากๆที่ขนตาปลอมขนมิ้งค์
OnnbabyLashes ได้รับผลตอบรับที่ดีมาก จากทั้งลูกค้าในไทยและต่างประเทศ
มาทีไรของหมดสต๊อกตลอด
และนี่คือรายได้ทางที่สองของออนค่ะ ..
———————————————
3. Online Influencer
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 8-9 ปีก่อน เป็นช่วงที่ออนเริ่ม Review ผลิตภัณฑ์
หรือทำ How to แต่งหน้าลงใน Pantip เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ออน
เรียน High School อยู่ที่ออสเตรเลีย ทำให้ออนได้มีโอกาสซื้อเครื่องสำอาง
ที่ยังไม่มีขายในไทยมาลองใช้ ลองเล่น และแน่นอนว่าก่อนที่ออนจะซื้อ
อะไรซักชิ้น ออนก็ต้องหาข้อมุล อ่าน Review ผลิตภัณฑ์นั้นๆก่อน
(เพราะตอนนั้นออนทำงานพิเศษช่วยคุณน้าด้วย คุณน้าทำร้านอาหารไทย
ออนมีหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับ รวมถึงรำไทยโชว์แขก ดังนั้นออนจะ
มีค่าขนมเพิ่มขึ้นมาจากการทำงาน)
และแน่นอนว่าออนก็เริ่มอยากที่จะแชร์บอกต่อว่าอะไรดี ไม่ดีให้กับ
เพื่อนๆ เพราะออนคิดว่าในเมื่อเรายังหา Review ของคนต่างชาติอ่าน
ดังนั้นถ้าคนไทยได้อ่าน Review บ้าง ก็คงจะได้ เหมือนเป็นการ
“แบ่งปันความสวย” ให้เพื่อนสาว อารมณ์แบบนั้น ดังนั้นออนเลยเริ่ม
เขียน Blog แชร์เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ Review ผลิตภัณฑ์
ทำ How to แต่งหน้า หรือเคล็ดลับการดูแลผิวต่างๆ บอกเลยว่าสมัยก่อน
Blogger ตอนโน้น คือเริ่มมาจาก “ความรัก ความชอบ” ล้วนๆ
เพราะย้อนไปตอนนั้น “เราไม่ได้มีรายได้ใดๆ” จากการทำในส่วนนี้
เราซื้อของเอง เขียนเอง ทุกอย่างเองล้วนๆ ดังนั้นจุดที่เริ่มเขียน Blog
มันคือศูนย์ เริ่มจากเขียนเองทุกอย่าง ไม่มีการจ้างงานใดๆ
แต่เมื่อทำมานานขึ้น.. อาจจะมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น ติดตามมากขึ้น
ก็เริ่มมีแบรนด์ติดต่อจ้างงานมา แน่นอนว่าออนต้อง “ขอขอบคุณ” ทุกคน
ที่ติดตามกัน อยู่ด้วยกันมาจนทำให้มีวันนี้ และ “ขอขอบคุณ” ทางแบรนด์
ต่างๆ ที่ให้เกียรติออนได้ร่วมงานด้วย มันเป็นอีกโอกาสดีๆที่มีค่า
ของออน
ทุกวันนี้ไม่เถียงเลยว่า “ออนได้รับเงิน” จากในส่วนนี้ แต่ออนเชื่อ
เสมอว่าถ้าออนทำอะไรที่ยังอยู่ในจรรยาบรรณ ไม่หลอกลวงผู้อ่าน
ไม่หลอกลวงตัวเอง เงินที่ออนได้มา หรือการที่ออนได้รับเงินนั้น
ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด มันคืองานอย่างนึง เราทำงาน เราก็ได้เงิน
ดังนั้นออนจึงเน้นย้ำเสมอว่า ขอบเขตการทำงานของออนเป็นยังไง
จะให้มาถือครีมลงรูป โดยที่ไม่เคยลอง ออนทำแบบนั้นไม่ได้หรอก
ก่อนที่จะแนะนำ จะ Review อะไร ออนต้องทดลองด้วยตัวของออนเองก่อน
ใช้หน้า ใช้ตัว ทดลองเองเลย ไม่ใช่มโนจิตเขียนชม เขียนอวยไปซะหมด
โดยที่ไม่เคยใช้ คือมันไม่ใช่จรรยาบรรณที่ดีของ Blogger หรือ Online Influencer
และที่สำคัญเราต้องระบุให้ชัดเจนไปเลยว่า อันไหน Sponsored post
และอันไหน Non-sponsored post
หลายๆคนพูดเสมอว่า “เป็น Blogger ดีจัง ได้ของฟรี ได้เงินใช้“
ถ้าถามว่ามันจริงมั้ย .. มันก็จริง แต่แน่นอนว่าเหรียญไม่ได้มีด้านเดียว ทุกอย่าง
มีทั้งด้านบวกและด้านลบเสมอ หลายๆคนมักถามว่า “อยากเป็น Blogger ต้องทำไง?
อยากได้ของฟรีใช้ อยากได้เงินดีๆบ้าง” .. พูดเลยว่าถ้าหากเราไม่ได้เริ่มอะไร
จากใจรักจริงๆ มันอยู่ได้ไม่นานหรอก ถ้าเราสักแต่จะทำเพื่อเงิน เพื่อ
ผลประโยชน์ คนที่ดู คนที่อ่าน เค้าก็จะรู้สึกของเค้าเอง ดังนั้นอย่าคิดแค่ว่า
อยากได้ของฟรี อยากมีเงินใช้ อยากทำงานสบายๆ .. เพราะจริงๆแล้ว
มันไม่ได้สบาย การที่เราได้ของฟรีมา บางทีเราทดลองไม่ทัน ใช้ไม่ทั่วถึง
เราไม่ได้ลงให้ เราก็อาจจะโดนว่า โดนนินทาต่างๆ แต่ถ้าจะให้ลงทั้งหมด
ก็คงจะไม่ไหว เพราะบางทีใช้ไม่หมด เงินจากการว่าจ้างงาน ก็ไม่ใช่เป็น
รายได้ประจำที่มีการการันตี บางเดือนอาจจะเยอะ บางเดือนอาจจะน้อย
ดังนั้นอยากให้มองหลายๆมุม และทำในสิ่งที่ใจรักจริงๆ เพราะสิ่งนั้น
จะเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดค่ะ
นอกจากนี้ออนยังโชคดีที่ทางแบรนด์คอนแทคเลนส์ Pro Trend Color
เลือกออนให้เป็น Brand Ambassador อีกด้วย ออนกับทางพี่แอม เจ้าของ
แบรนด์รู้จักกันมา 3 ปีกว่าๆได้แล้ว ตั้งแต่พี่แอมเริ่มทำแบรนด์ แรกๆเลยพี่แอม
ก็ติดต่อมาเพื่อจะส่งของให้ ปรากฏว่าคุยกันถูกคอ นัดเจอร้านนั่งชิล ดริ๊งค์กัน
เลยในวันแรกที่เจอกัน จากวันนั้นถึงวันนี้..ผ่านมา 3 ปีกว่าแล้ว พี่แอม
ไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่เป็นเหมือนพี่สาวอีกคนนึง ที่คอยให้คำปรึกษา
ความช่วยเหลือน้องสาวคนนี้มาตลอด และที่สำคัญยังเกิดวันเดียว เดือนเดียว
กันอีก (แต่คนละปีนะจ๊ะ..ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเด็กกว่า) ดังนั้นเวลาเรา
เจอเรื่องอะไร เราจะเจอคล้ายๆกัน ในวันและเวลาที่ใกล้กัน ขอบคุณพี่แอม
พี่สาวที่แสนดีที่ให้โอกาสน้องคนนี้ได้ทำหน้าที่ในฐานะ Brand Ambassador
นะคะ จะทำให้ดีที่สุดค่ะ เพราะของเค้าดีจริง ไม่ต้องโม้
และนี่คือรายได้ทางที่สามของออนค่ะ ..
———————————————
4. Brand Consultant
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนออนได้เริ่มตัดสินใจรับเป็นที่ปรึกษาแบรนด์
เครื่องสำอาง–คลีนิกเสริมความงาม–อาหารเสริม เพราะตอนนี้มีหลาย
เจ้ามากๆที่อยากทำการตลาดกับ Online Influencer แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง
ไม่รู้จะติดต่อใคร และไม่รู้ว่าใครเชื่อถือได้หรือไม่ได้ ยิ่งเดี๋ยวนี้
มีเอเจนซี่เยอะมาก ที่รับปรึกษา ทำการตลาด แต่ขาดข้อมูล
แบบ Insight จริงๆ อารมณ์ประมาณว่าดูแค่ตัวเลขคนติดตามก็
โขกราคาลูกค้าเอา โขกกันที 50%-200% ก็ว่าไป
โดยที่ไม่เคยรู้ว่าบุคคลเหล่านั้น มีผู้ติดตามจริงรึเปล่า
ซื้อ Follower ปั๊มยอด Like เอา ก็ได้แล้วใช่มั้ย แล้วคนที่มีคนตามน้อยกว่า
แต่มีฐาน Followers จริงๆ กลับถูกมองข้าม แบบนี้ออนว่ามันไม่ใช่
ดังนั้นในฐานะที่ออนก็เป็น Online Influencer
ออนจึงมีข้อมูล Insight รู้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง หรืออะไรที่มีความเป็นไปได้
หรือไม่ได้ รวมถึงออนเข้าใจ Nature ของ Influencer และไม่ต้องการ
ให้แบรนด์ถูกหลอก ถูกเอาเปรียบ โดนโขกราคาแพงๆ
ออนเลยเริ่มรับจ๊อบเป็นที่ปรึกษาทางการตลาดให้ในแบบ “ที่ปรึกษา“
ที่ดูแล ให้คำปรึกษาเหมือนครอบครัวเล็กๆครอบครัวนึง โดยจะบอกเลย
ว่าอะไรจริง ไม่จริง อะไรได้ ไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้ลูกค้ามาผิดหวัง
โดนหลอก ซึ่งออนดูแลตั้งแต่ในส่วนของการเป็นคนกลางในการดีลงาน
ระหว่างแบรนด์ และผู้ถูกว่าจ้าง รวมถึงรับจัดงานสำหรับแบรนด์เครื่องสำอาง
คลีนิกความสวยความงาม และอาหารเสริม ไม่ว่าจะเป็น Meeting,
Lunch Party หรือ Afternoon Tea ก็ทำหมด
ออนจะดูแลตั้งแต่ติดต่อ คุยสโคปงาน ไกล่เกลี่ย
หาสถานที่ จองสถานที่ จัดหาอุปกรณ์ตกแต่ง เรียกว่าโยนมาเถอะ
เดี๋ยวจัดการเอง เพื่อให้ลูกค้าสบายที่สุด และงานออกมาแฮ๊ปปี้ที่สุด
ถูกใจทั้งลูกค้า มีความสุขทั้งแขกที่มา และแน่นอนว่าสบายใจ
คนกลางอย่างออน ผ่านมา 3 เดือน ตอนนี้ออนดีลมาแล้ว
3 แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Pro Trend Color, Jewel Clinic หรืองาน
ที่กำลังจะเริ่มอย่าง Aphrodite Group และในเร็วๆนี้
ก็กำลังจะมีโปรเจคอีกแบรนด์ใหม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นออนต้องขอบคุณ
ทุกแบรนด์ที่มั่นใจ ไว้ใจ และเลือกให้ออนดูแลมากๆค่ะ
และนี่คือรายได้ทางที่สี่ของออนค่ะ ..
———————————————
มีสาวๆฝากคำถามกันมาเยอะมาก
ดังนั้นออนเลยเลือกคำถามมาตอบค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง
1. บริหารเวลายังไง?
พูดเลยว่าคนที่ไม่ได้ทำงานประจำ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ
หรือทำงาน Freelance ถ้าหากไม่จัดสรรเวลาให้ดีจริงๆ คือ “พัง”
พูดคำเดียวเลย คือเราจะขี้เกียจได้ แต่เราต้องรีบลุกขึ้นมาขยัน
ต้องนั่งจดเลยว่างานอันไหนมาก่อน มาหลังตามลำดับ และ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “เราต้องส่งงานให้ตรงเวลา” เพราะถ้าเรา
เริ่มไม่ตรงต่อเวลาปุ้บ จบละ .. เสียชื่อ เสียงาน เงินหาย
ทุกวันนี้ออนจะเขียนแพลนตารางงาน และการใช้ชีวิต
ของออนล่วงหน้า 1 อาทิตย์ ออนจะจดไว้เลยว่าจันทร์–อาทิตย์
ออนต้องทำอะไรบ้าง และออนจะมี Fixed time ที่ออนเซ็ตไว้
เป็นเวลาว่างสำหรับเจอเพื่อน เจอแฟน และเจอครอบครัว
เพราะไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน ออนก็จะยังพยายามหาเวลา
กินข้าว เม้ามอยกับเพื่อนบ้าง หรือช่วงเย็นทุกวัน
ออนจะเจอแฟน หรือถ้าแฟนว่างมากกว่านั้น ก็จะคอยมารับมาส่ง
ไปงาน รองานเลิกตลอด และทุกคืนออนจะมีเวลากลับบ้าน
เพื่อกลับมาเจอคุณแม่ เจอครอบครัว.. งานเยอะแค่ไหน
ยังไงก็ต้องมีเวลาให้คนที่เรารักและคนสำคัญเสมอค่ะ
2. Connection สำคัญมั้ย? สร้างยังไง?
บอกเลยว่าในสังคมไทย..การที่เรามีคอนเนคชั่นถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เพราะการที่เรามีคอนเนคชั่นที่ดี ย่อมทำให้อะไรๆมันง่ายขึ้นสะดวกขึ้น
แต่ออนยังเชื่อเสมอว่าเราไม่ควร “สร้างคอนเนคชั่นเพื่อผลประโยชน์อย่างเดียว”
เพราะมันเหมือนความจอมปลอม คบกันเพียงเพื่อผลประโยชน์
ส่วนตัว..มีคนบอกว่าออนรู้จักคนเยอะ หลากหลายมาก
ไม่ว่าจะเพื่อนๆ ที่เป็นดารา นักร้อง เน็ตไอดอล หรือแม้แต่เจ้าของธุรกิจต่างๆ
อาจจะเพราะกลุ่มเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ และขยายฐาน
ออกไปตอนเรียนมหาลัย และจบมา ดังนั้นเหมือนมีเพื่อนดีอยู่แล้ว
ก็ทำให้รู้จักคนดีๆมากขึ้น และเวลามีอะไร ต่างคนก็ต่างช่วยเหลือกัน
อย่างเต็มที่ค่ะ ดังนั้นพูดเลยว่า “คบเพื่อนดี..มีชัยไปกว่าครึ่ง”
ถ้าเรามั่วแต่คบเพื่อนเที่ยว ไม่ทำมาหากิน วันๆเอาแต่กินเหล้า
ก็ไม่รู้ว่าชีวิตเราจะพัฒนาไปได้ยังไง
3. วิธีการสร้างแบรนด์ เริ่มต้นแบบมีงบจำกัด จะทำยังไง?
ตอนออนเริ่ม ออนก็มีงบจำกัดเหมือนกันนะ เพราะทุกบาททุกสตางค์
มันมาจากน้ำพักน้ำแรงของออนที่เก็บสะสม และหามา ดังนั้นก่อน
ที่จะเริ่มทำอะไร อยากให้ศึกษาให้ดีๆ มองความเป็นไปได้ มองตลาด
มองคู่แข่ง มองเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่ในอนาคตด้วย เพราะถ้า
เรามัวแต่จะทำๆ โดยไม่สนใจปัจจัยรอบข้าง โอกาสเสี่ยงเยอะมากค่ะ
และยิ่งถ้าเรามีงบที่จำกัด ยิ่งต้องบริหารดีๆเลย
เช่นงบตรงนี้จะใช้จ่ายเท่าไหร่ เหลือเท่าไหร่ และที่สำคัญเราต้องมี
งบสำรองเผื่อไว้ซัก 20%-30% ในกรณีที่เราลงทุนอะไรไป แล้วมัน
เกินงบมา (แน่นอนว่าแทบทุกอย่างจะมีการเกินงบ แต่การเกินงบ
ประมาณนั้น ไม่ควรเกิน 20% เพราะไม่อย่างนั้นจะคืนทุนอย่าง
และควบคุมค่าใช้จ่ายลำบาก) เป็นต้น
4. ไม่มีหัวการตลาด ไม่ได้เรียนการตลาด จะทำได้มั้ย?
สำหรับออน ตอนเริ่มทำตอนนั้นก็ยังไม่ได้เรียนด้านการตลาด
จบอักษรมา คือคนละทางกันเลย และในชีวิตออน ออนเห็นเยอะมาก
ที่คนจบมาด้านนึง ทำงานอีกด้านนึง และออนเชื่อว่าจริงๆแล้ว
เราอาจจะไม่จำเป็นต้องเรียนด้านการตลาด เพื่อมาทำธุรกิจ
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็จะต้องมีความขยัน และขวนขวายกว่า
คนที่เรียนมาด้านนี้ ศึกษาหาความรู้ รวมถึงประสบการณ์เพิิ่มเติม
เพื่อกอบโกยให้ได้มากที่สุด และนำมาใช้กับชีวิตจริงและธุรกิจ
ของเราให้ได้มากที่สุด แต่ถ้ามีเวลา มีโอกาส ลองหาคอร์สเรียนการ
ตลาดเฉพาะทาง หรืออาจจะเรียนต่อไปเลยก็ได้ค่ะ ขึ้นอยู่กับ
สถานการณ์ของแต่ละคน
5. ทำหลายอย่างพร้อมๆกัน มีเหนื่อย มีท้อบ้างมั้ย?
โหหหห..เอาจริงๆนะคะ ออนเลยจุดนั้นมาแล้ว คือมันเกินกว่า
คำว่าจะเหนื่อย เห็นแบบนี้จริงๆออนเป็นคนเครียดมาก และหงุดหงิดมาก
จนแฟนคิดว่าเริ่มเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเวลาออนทำหลายอย่าง
ออนจะมึน เหมือนสมองมันรับไม่ไหว และข้อเสียคือออนไม่ชอบ
แบ่งงานให้ใคร ชอบรู้และสั่งการทุกอย่างเองในสมอง ทำให้หลายๆ
ครั้งและแทบจะทุกครั้ง มันรับไม่ไหว มันเกินกว่า 5-10 เรื่องในวันนึง
ไม่รวมกับวันๆนึง ออนรับโทรศัพท์งาน โทรศัพท์คนรู้จัก
บางวันรวม 40 กว่าสาย คือมัน Error เลย หลายครั้งที่เครียดจนอาเจียน
เพราะเป็นโรคเครียดลงกะเพาะ และทำให้เหมือนซึมเศร้า ไม่อยากออกไปไหน
ออกไปข้างนอกแล้วรู้สึกแย่ อยากรีบกลับบ้านมานอนเล่นกับแมว
เพราะคิดว่าแมวคือครอบครัวและเพื่อน ที่ออนสามารถเล่าทุกอย่าง
พูดคุยทุกอย่างให้ฟังได้ โดยที่ไม่มีการโต้ตอบ (นึกออกมั้ยว่าบางที
เราก็อยากระบายอะไรไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้ต้องการความคิดเห็นใคร)
ดังนั้นแพรีสคือเหมือนคนที่รับฟังปัญหาของออนแบบเงียบๆ
สำหรับพลังในการทำงาน แรงกระตุ้น.. ออนจะเป็นพวกบ้า ไฮเปอร์
คืออัดงานแบบตู้มๆๆๆ ตื่นเช้าก็อัดงาน ยาวจนถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ติดๆกัน
และพอเคลียร์งานเสร็จ ก็จะมีช่วงว่างขึ้น ที่ทำตัวขี้เกียจได้ 1-2 วัน
แบบกลิ้งไปกลิ้งมา นัดเพื่อนกินข้าว ไปเดินห้างช็อปปิ้ง หรือบางครั้ง
ถ้ามีจุดมุ่งหมายอยากทำอะไร อยากได้อะไร อยากไปไหน
ก็จะยิ่งฮึดสู้ เช่นอยากซื้อคอนโดใหม่ภายในปีหน้า อยากซื้อรถใหม่
ภายในสองปี หรือภายในปีนีจะซื้อกระเป๋าใหม่ มันก็เป็นแรงผลัก
ดันอย่างนึงที่กระตุ้นให้เลิกขี้เกียจ และลุกขึ้นมาขยันทำงาน
6. เคยล้ม เคยทำอะไรไม่สำเร็จบ้างมั้ย?
ถ้าจะตอบว่าไม่เคยเลยก็ฟังดูโกหกเนอะ.. ของออนเคยมีครั้งนึงคือ
ตอนที่อยากทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง ตอนนั้นตั้งใจมากคือ
ออกแบบเอง ไปเลือกผ้าเอง ไปคุยกับช่างเอง คือวิ่งทุกอย่างเองหมด
แบกผ้า เลือกกระดุม เลือกซิบ ฟิตติ้ง จัดการเองหมด บางคนอาจจะ
บอกว่าง่ายๆ แต่พูดเลยว่าถ้าคนที่ทำร้านเสื้อผ้าเอง จะเข้าใจว่ามันเหนื่อยมาก
และยากมาก แค่เดินหาร้านผ้าก็เป็นร้อยๆร้านแล้ว กว่าจะได้ผ้าที่เหมาะกับ
แบบเรา ราคาก็ต้องดี คุณภาพก็ต้องได้ บางทีซื้อมาไม่เหมาะกับทรง
เสื้อผ้าอีก ใช้เวลาประมาณ 4 เดือนกว่าถึงเริ่มออกคอลเลคชั่นแรกได้
แต่พอออกมา มันเหนื่อยมากกกกกกแล้ว คือเหนื่อยมากจริงๆ
ตอนนั้นรู้สึกเหนื่อย จนเหมือนคนหมดแรงตลอดเวลา พอขายได้ทุนคืน
ออนก็หยุดหมดเลย เพราะมันไม่ไหว มันเครียดมาก เป็นอะไรที่
ไม่มีคนช่วย ทำคนเดียว วิ่งทุกอย่าง ไม่รวมกับงานอื่นๆอีก ดังนั้น
เลยขอหยุดไว้ก่อน
7. อะไรที่ยากที่สุดในการทำธุรกิจ และจัดการกับมันยังไง?
อยากจะบอกว่ามันอยากทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มเลย ไม่มีอะไรง่าย
ยิ่งในยุคนี้โลกมันเปิดกว้างขึ้น ให้คนมีโอกาสได้ทำอะไรง่ายขึ้น ทุกคน
ก็ทำกันหมด จนการแข่งขันมันสูง มันต้องต่อสู้ ฝ่าฟัน ไหนจะทำให้
ลูกค้าติด เพราะสินค้าดีอย่างเดียว บางทีมันก็ไม่พอ ไหนจะการตลาด
ที่บางทีอัดงบกันเยอะมาก จนแบรนด์ที่ไม่ได้มีงบหลักหลายหรือสิบล้าน
ก็ไม่ไหวจะสู้ ดังนั้นเริ่มจะทำธุรกิจ..ไม่มีคำว่าง่าย ส่วนวิธีจัดการ
ก็คือสู้กันต่อไป ถ้ายังสู้ไหวก็สู้ ถ้าเหนื่อยก็พัก พอชาร์จแบตเต็ม
ก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ค่ะ
———————————————
นี่คือคำถามคร่าวๆที่ออนรวบรวมมาไว้
หวังว่าจะตอบสิ่งที่เพื่อนๆอยากรู้กันได้บ้างนะคะ ออนเขียนแบบสดๆ
ไม่มีสคริปเลย ดังนั้นอาจจะไม่ได้สวยหรูหรืออะไร แต่พยายามจะเขียน
ให้เข้าใจง่ายๆ เหมือนเพื่อนสาวคุยกัน
แอบมากระซิบว่า..เร็วๆนี้ ออนกำลังจะมีโปรเจคใหม่
ที่ออนร่วมกับแบรนด์ DA+PP ด้วยนะคะ แบรนด์ DA+PP เป็นแบรนด์
ของพี่สาวออนเอง แต่โปรเจคจะเป็นยังไง และจะเป็นรายได้ทางที่ห้าของออนมั้ย
อย่าลืมมาติดตามกันค่ะ
หวังว่า Blog นี้จะเป็นประโยชน์ หรืออย่างน้อยเป็นแรงบันดาลใจ
ให้หลายๆคนที่กำลังท้อแท้ รู้สึกแย่ ได้มีกำลังใจ หรือแรงผลักดันขึ้นมาบ้างนะคะ
จำไว้ว่าไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ดังนั้นสู้กันต่อไปค่ะ
และเมื่อวันที่เราประสบความสำเร็จด้วยมือของเรา เราจะภูมิใจมากๆค่ะ
ยังไงเจอกันใหม่นะคะ
สวัสดีค่ะ