สวัสดีค่าาา
วันนี้เปิด Blog กันมาแบบฟินๆเลย เพราะออนจะมาพูดถึงร้านอาหารกันอีกแล้ว
หลายๆคนรู้กันอยู่แล้วนะคะว่าออนชอบกินมากกก โดยเฉพาะอาหารฝรั่ง และอาหารญี่ปุ่น
เรียกว่าต้องกินทุกวัน กินตลอด กินมันทุกมื้อ
ซึ่งร้านอาหารวันนี้คือร้านที่ออนเคยกินมาก่อนแล้ว กับร้าน Kitaohji (ทองหล่อ ซ.8)
แต่ว่าวันนี้เค้ามาเปิดสาขาที่ 2 ภายใต้ชื่อ Sushi Kappou Kitaohji นั่นเอง
ซึ่งสาขาที่ 2 ตั้งอยู่ที่สุขุมวิท 39 (ตรงเวิ้ง 39 Boulevard) ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสาขาแรกเท่าไหร่
จุดเด่นของร้านนี้คือการกิน Sushi แบบ Omakase แต่อย่างที่หลายคนรู้ว่า Omakase คือการ
ที่เชฟจะรังสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดในแต่ละวันมาเสิร์ฟให้ลูกค้าได้รับประทาน แต่ Omakase ของร้านนี้
มีอะไรมากกว่าแบบทั่วๆไป เพราะเป็นแบบ Kappou Style ซึ่งก็เป็น Omakase ในรูปแบบนึง
ที่ไม่ได้เสิร์ฟแค่ซูชิอย่างเดียว แต่จะเสิร์ฟทั้งซูชิ ปลาดิบ ซุป ของทอด รวมถึงของหวานในคอร์ส
เดียวกัน ก็จะได้ฟีลแบบแปลกไม่ ไม่ซ้ำ หรือใครเบื่อกินซูชิอย่างเดียว ชอบอะไรหลากหลายๆ
ก็น่าจะถูกใจ Omakase แบบนี้กัน
(รูปภาพของทางร้าน)
หน้าตาของร้านก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ มีความเป็นญี่ปุ่นสุดๆ
ซึ่งลูกค้าที่ทาน Omakase ก็จะนั่งตรงหน้าบาร์ได้เลย แต่ถ้าใครอยากจะมากิน
A la carte สบายๆ ก็สามารถนั่งโต๊ะปกติได้นะคะ แล้วแต่คนเลือก แล้วแต่ชอบเลย
ซึ่งคอร์สที่ออนกินวันนี้ ราคา 4,500 บาท
มีอาหารเสิร์ฟทั้งหมด 10 คอร์สค่ะ (หรือจริงๆคือ เสิร์ฟอาหาร 9 คอร์ส และอีก 1 คอร์สเป็นของหวาน)
และจุดเด่นของที่นี่ที่ชอบมากๆคือ ตอนที่มานั่ง เชฟหรือพนักงานจะเข้ามาถามทันที
ว่ามีอะไรที่อยากเปลี่ยน หรือไม่ทานมั้ย เพื่อที่ทางเชฟจะได้ปรับและเปลี่ยนให้เหมาะ
และถูกใจในความต้องการของเรา สำหรับออน สิ่งที่ออนไม่ทานเลยคือวาซาบิ
และปลาไหล รวมถึงปลาหนังเงินๆทั้งหมด ซึ่งเชฟก็จะเปลี่ยนให้ตรงนี้
ดังนั้นมาดูกันดีกว่าว่า 10 คอร์สที่ออนไปทานมา
มีอะไรบ้าง รสชาติเป็นยังไง และเด็ดแค่ไหน
เมื่อมานั่ง เชฟจะเสิร์ฟซุปเล็กๆมาให้ในถ้วยแบบนี้
อารมณ์คล้ายถ้วยชา เพื่อเรียกน้ำย่อย โดยซุปนี้เป็นซุปจากผงปลามากุโระ (มากุโระดาชิ)
ซึ่งรสชาติซุปจะหวานกว่าซุปตามร้านปกติทั่วไป และแน่นอนว่าร้านนี้ปลาแพงกว่าร้านอื่นในการ
ทำซุป ปกติส่วนตัวไม่ชอบกินซุป แต่พูดเลยว่าถ้วยนี้หวานจริงๆ
ต่อมาที่จานนี้ ดูงงๆ ดูไม่น่าสนใจ เพราะมันคือ “Tamago Tofu”
ส่วนตัวปกติไม่ใช่คนชอบกินเต้าหูไข่อะไรอยู่แล้ว แต่พอลองกินเท่านั้น พูดเลยว่า
เปลี่ยนความคิดเลย เพราะความพิเศษของจานนี้คือทางร้านจะทำวันต่อวันเท่านั้น
ซึ่งกรรมวิธีการทำคือจะต้องค่อยๆเคียวอย่างช้าๆเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพื่อให้ได้ความเนียนนุ่ม
คีบแล้วไม่แตก เนื้อสัมผัสเหมือนโมจิ เวลากินเข้าไปจะหนึบๆ อร่อยมากกกก
ไม่ใช่เต้าหู้ที่คีบแล้วแตกแบบทั่วๆไป มันดีค่ะ มันดีมากกกก
มาถึงอาหารแบบซุปกันบ้าง
ปกติก็เป็นคนไม่ชอบกินซุปเท่าไหร่ เวลาไปร้านอาหารญี่ปุ่นถ้าได้ซุปมา
ก็จะให้แฟน ให้เพื่อนกินแทน แต่ไหนๆเค้าบอกว่าร้านนี้เด็ดทุกเมนู เลยขอลองดู
ว่าซูปกาอันนี้รสชาติเป็นยังไง ตัวซุปกาทางร้านใช้น้ำสต๊อกจากมากุโระดาชิมาทำ
โดยเอาปลามาไดไปโรยเกลือเพื่อเพิ่มความหวานของเนื้อปลา หลังจากนั้นจึงนำไปย่าง
แล้วค่อยมาต้มอีกที ปิดท้ายด้วยการนำฟองเต้าหู และเห็ดตามฤดูกาลมาใส่รวมกัน
จะบอกว่าซุปกานี้หวานมากกกกกก เนื้อปลาก็หวาน ฟองเต้าหู้ และเห็ดก็อร่อย
รสชาติทุกอย่างมันละมุน กลมกลืนไปหมด จากคนที่ไม่ชอบกินซุป แต่ถ้วยนี้หมดเกลี้ยง
ปกติเวลากินซูชิ ออนจะชอบนั่งตรงบาร์อยู่แล้ว เพราะชอบที่จะดูเวลาเชฟเค้าเตรียมวัตถุดิบ
เค้าทำอาหาร ปั้นนั่นนี่ให้เรากิน เหมือนเราได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมนั้นๆไปด้วย
กรี๊ดดดด จากที่ส่องวัตถุดิบจากเชฟไปเมื่อกี้
จานโปรดที่รอคอยก็มาถึง เพราะเป็นซาชิมิของโปรดออนนั่นเอง
อย่างที่บอกว่าปลาแต่ละวันก็อาจจะแตกต่างกันไป เนื่องจากทางร้าน
คัดสรรปลาตามฤดูกาล และนำเข้าวันต่อวัน ไม่มีการ Freeze ไว้ แต่วันที่ออนไปกิน
จานที่ได้มี Chutoro ซึ่งเป็นของแบรนด์ Yoshitomi จากตลาดปลา Tsukiji
เรียกว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ดีที่สุด จากตลาดปลาที่ดีที่สุดอีกด้วย ตอนเห็นปลา
ดูไม่ชัดว่าเป็น Chutoro แต่พอกัดเข้าไปนะ อื้อหือออ ละมุน นุ่มมมมม ดีมากกกกก
และความพิเศษของจานนี้ยังไม่จบแค่นี้นะ เพราะทาง Kitaohji ได้สั่งทำแปรงทา Shoyu
แบบ Handmade ซึ่งสั่งทำจากเขตชื่อดังอย่าง Asakusa ปกติแล้วเชฟจะเป็นคนทา
Shoyu ให้เราเอง แต่ที่นี่ให้เราได้ทา Shoyu เอง ตามที่เราชอบ แบบที่เราต้องการ
ทำให้เรารู้สึกสนุก และเหมือนมีส่วนร่วมกับการกิน การทำอาหารไปด้วย แถมจาน
สวยๆแบบที่เห็นนี้ ทางร้านก็สั่งทำพิเศษจากญี่ปุ่นเหมือนเดิมนะ โดยได้แรงบันดาลใจ
มาจาก Obi หรือผ้าที่ใช้ผ้าคาดชุด Kimino ของหญิงสาวชาวญี่ปุ่นนั่นเอง
กลับมาที่อาหารจำพวกซุปๆชาบูๆกัน ถ้วยนี้เรียกว่า “Hamo Shabu”
โดยใช้ปลาฮาโมะเป็นนางเอกในการทำ ซึ่งนับว่าเป็นปลาที่มีก้างเยอะมากๆ
ดังนั้นจึงต้องใช้มีดชนิดพิเศษ เพื่อหั่นปลาชนิดนี้ให้ก้างละเอียด
และใช้วิธีการหั่นที่เป็นสูตรเฉพาะเพื่อทำให้เนื้อปลาบานสวยเสมือนดอกไม้นั่นเอง
นอกจากนี้เวลาต้ม เราจะต้มเฉพาะส่วนที่เป็นหนังก่อนเท่านั้น เพราะส่วนหนังมี
ความหนากว่าส่วนอื่นๆ เนื้อปลาจะไม่สุกจนกระด้างหรือจนเหนียว และในส่วนของซุป
ความพิเศษคือการนำไปเคี่ยวจากสันหลังของปลาฮาโมะ และใส่ไข่ปลาเพื่อเพิ่มรสชาติ
ปิดท้ายด้วยการเติมกลิ่นหอมด้วยเปลือกของส้ม Yuzu ทำให้ถ้วยนี้ได้ทั้งความหวาน
ของเนื้อปลา ความเข้มข้นของน้ำซุป และความหอมจากผิวเปลือกส้ม Yuzu นั่นเอง
คำต่อมาก็จะเป็น Nigiri หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากก็คือ Sushi นั่นเอง
จริงๆคำนี้จะเป็นการเสิร์ฟ Anago Nigiri หรือปลาไหลทะเลน้ำลึก แต่ด้วยความที่
ออนไม่กินปลาไหล (เคยลองแล้ว ใจมันก็ไม่ไหวจริงๆ) เชฟเลยเปลี่ยนของออน ให้เป็น
Yoshitomi Maguro บอกเลยว่าเห็นเนื้อแดงๆ ดูไม่มีมันแทรกแบบนี้ แต่นุ่มละมุนปาก
สุดๆนะ มันดี มันฟินมากกกกกกกก
ในส่วนของ Anago Nigiri ที่แฟนออนกิน เป็นปลาไหลทะเลน้ำลึก
จากจังหวัด Nakazaki ซึ่งความลับอยู่ที่การเลือกขนาดของปลาไหลให้พอดี
ซึ่งขนาดที่ทางร้านเลือกใช้นั้นคือขนาด 200 กรัม เพราะถ้าใช้ขนาดเล็กกว่านี้ จะทำให้เนื้อปลาไม่มี
ความฉ่ำและมัน แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าใช้ขนาดใหญ่กว่านี้ จะทำให้เนื้อปลาแข็ง กระด้างและก้างแข็ง
แฟนออนฟินกับเนื้อปลาไหลมาก ซึ่งออนก็ไม่แน่ใจว่าจะอธิบายยังไง แต่เค้าบอกว่าดีมากจริงๆ
ตอนเสิร์ฟถ้วยนี้มา แอบมึนงงเล็กน้อย
เพราะสงสัยว่าถ้วยนี้คืออะไร ทำไมมีบ๊วยด้วย เลยลองถามทางเชฟ
ได้ความว่าถ้วยนี้คือ Ume Chawanmushi เป็นบ๊วยมาจากจังหวัด Wakayama
ซึ่งบ๊วยมีชื่อว่า Kishu Ume เชฟบอกว่าอยากให้ลูกค้าได้ลองรสสัมผัสของเนื้อบ๊วย
เพื่อเพิ่มความสดชื้นหลังจากที่ได้นั่งทานมาหลายคอร์ส
ส่วนตัวไม่ใช่คนกินบ๊วย (นอกจากบ๊วยจีนเคลือบน้ำตาล 555)
ดังนั้นเลยยกให้คุณแฟนกินเหมือนเดิม ซึ่งแฟนชอบมาก บอกว่าอร่อย หวานๆเปรี้ยวๆ
ตัดกับรสชาติอาหารที่ผ่านๆมาได้ดี
“Don’t judge a book by its cover”
ประโยคนี้ใช้ได้ดีกับจานนี้เลย ตอนเห็นจานนี้รู้สึกธรรมดามากกก
ก็กุ้งเทมปุระชุบแป้งทอดไง ก็มันม่วงชุบแป้งทอดไง ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ
แต่ทางร้านก็บอกว่าลองเถอะะะะ แล้วจะติดใจ ถ้าไม่ลองคือพลาดมาก
ยิ่งมันม่วงยิ่งดีงามมาก อะๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองไปค่ะ
โอ้โหหหหหหห..คือดีงามมากกก ถ้าไม่ลองคือพลาดจริง
Kuruma Ebi Tempura เสิร์ฟพร้อมกับ Satsuma-Imo หรือมันม่วงทอด
ปกติแล้วร้านอาหารทั่วๆไป จะหั่นชิ้นบางๆและนำไปทอด แต่ที่ Kitaohji จะหั่นชิ้นหนา
เพื่อให้ลูกค้าได้รับรสสัมผัสของมันแท้ๆ ซึ่งมันนี้ไม่ได้อยู่ดีๆก็นำไปทอดเลยนะ
แต่ว่ามันนี้จะต้องนำไปย่างบนเตาถ่านด้วยไม้ชนิดพิเศษ หลังจากนั้นจึงนำไปทอดด้วยอุณหภูมิ
ให้อยู่ในระหว่าง 180-220 องศาอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ได้สุดยอดมัน
และมันก็สุดยอดจริงๆแบบไม่น่าเชื่อ เพราะมีความหอม มันเคล้ากันไป
แต่ที่พลาดไม่ได้เลยจริงๆคือ “Matcha Shio” หรือเกลือชาเขียว
ตอนแรกฟังแล้วทะแม่งๆ แต่ส่วนตัวชอบกินอะไรเค็มๆ กับชอบกินชาเชียว เลยรีบลองก่อน
เพราะยังไม่เคยเจอร้านไหนทำ ขั้นตอนในการทำเกลือชาเขียวนี่ไม่ธรรมดานะ
เพราะต้องนำสาหร่ายจากทะเลน้ำลึกมาต้ม เพื่อดึงเอาความเค็มจากน้ำทะเลในสาหร่ายออกมา
หลังจากนั้นจึงนำมาทำเกลือแห้ง และบดจนละเอียดผสมเป็นเนื้อเดียวกับผงชาเขียวนำเข้าจากญี่ปุ่น
ทำให้ได้เกลือชาเขียวแบบที่เห็นในรูป จิ้มกับเทมปุระ หรือมันม่วงก็ฟินแบบฟินมากกกก
จริงๆจานนี้จะต้องเป็น Saba Bo Sushi หรือ “ปลาซาบะหมัก”
แต่เนื่องจากไม่ทานพวกปลาหนังเงินๆ ทางร้านเลยใจดีเปลี่ยนให้เป็น Madai กับ Uni แทน
โอ้ยยยย เชฟน่ารักมากกก ยอมใจในความใส่ใจลูกค้าที่เยอะและกินยากแบบออน
อะไรไม่ชอบ ไม่กิน กินไม่ได้ กินไม่เป็นก็เปลี่ยนให้หมด แถมสิ่งที่เปลี่ยนมาก็ถูกใจซะด้วย
ปกติเวลากินร้าน Sushi ทั่วไป ออนจะไม่ได้กิน Madai เพราะรู้สึกว่ารสชาติมันเฉยๆ
จืดๆ ไม่ได้เด่นอะไร แต่ที่นี่อร่อยมากกก แบบอธิบายไม่ถูก ส่วน Uni ก็ไม่ต้องพูดถึง
ดีงามที่สุดใน 3 สามโลกกก Uni Lover แบบออนนี่ไม่เคยพลาด (แน่นอนว่า Uni
ที่ร้านก็จะเป็น Uni จากญี่ปุ่น ซึ่งสายพันธุ์ก็อาจจะสลับปรับเปลี่ยนกันไปขึ้นอยู่กับฤดูกาล
แต่ขึ้นชื่อว่า Uni ญี่ปุ่นแล้ว Texture นาง Creamy และ Rich แบบบสุดๆแน่นอน)
Tamago หรือไข่หวานที่เราเห็นกันบ่อยๆ
แต่ที่นี่มีริ้วลายแปลกๆมาด้วย ทางเชฟอธิบายว่าที่เห็นลายเกรียมๆนั้น ไม่ใช่ว่าทำผิด
แต่เป็นการทำให้เกรียมนิดๆ เพื่อให้เกิดลายที่สุดงาม แถมยังมีกลิ่นหอมๆในตัวด้วย
ปกติไม่ใช่คนกินไข่หวานเท่าไหร่ แต่ลองที่นี่แล้ว ก็ไม่เหมือนไข่หวานทั่วไปนะ มีความแปลก
แต่อร่อยในตัว
ปิดท้ายกันไปด้วยจานนี้
แน่นอนว่ากินคาวแล้ว ก็ต้องตามด้วยหวานเนอะ
ขาวๆเนียนๆแบบนี้ แต่จานนี้คือ Sake Pudding นะ โดยใช้แบรนด์ Junmai Ginjo
จากจังหวัด Fukuoka มาสกัดทำ Pudding ซึ่งจะได้รสหวานของ Sake หน่อยๆ พร้อมกันนี้
ยังมีผลไม้ตามฤดูกาลมาเสิร์ฟคู่กันด้วย ซึ่งผลไม้ที่ออนได้ในวันนั้นคือ Muscat Grape หรือ
องุ่นเขียวมัสกัด จากจังหวัด Yamanishi รสชาติหวานมากกกก อร่อยสุดดดด ปริ่มค่ะ
—————————————————-
ทั้งหมดนี้คือ 9+1 = 10 คอร์สของออน
ที่ได้มาลองเปิดประสบการณ์ใหม่ที่ร้าน Sushi Kappou Kitaohji
ถือเป็นการได้กิน Omakase แบบใหม่ๆ ที่ไม่ได้มีแค่ Sushi อย่างเดียว และรสชาติถูกปาก
อร่อย แต่ละจาน แต่ละคอร์ส มีที่มาที่ไป และที่สำคัญที่สุดคือคุณภาพของวัตถุดิบ และความสด
ของปลา ที่ไม่มีที่ติเลย
ใครชอบอาหารญี่ปุ่นแบบ Authentic ใครชอบกิน Sushi
หรือใครมีแขก มีผู้ใหญ่ มีลูกค้าที่ชอบอะไรแนวนี้ น่าจะถูกใจกันเลยทีเดียวค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม
https://www.facebook.com/sushikappou.kitaohji/
พบกันใหม่นะคะ
สวัสดีค่า