สวัสดีค่ะสาวๆทุกคน
วันนี้มาเขียนให้อ่านกันอีกแล้วววว เนื่องจากมีเวลาว่างเบาๆ
และคิดว่าเรื่องที่จะเขียนให้อ่านกันในวันนี้ คงมีหลายๆคนอยากรู้ อยากอ่าน
สงสัย รวมถึงกำลังสนใจอยู่กันแน่นอน วันนี้ออนเลยเป็นหนูทดลองไปลองด้วยตัวเอง
และจะได้นำสิ่งที่ได้ลองมาเขียนให้อ่านกันในวันนี้ค่ะ
เมื่อวันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา ออนได้มีโอกาสไปทำสวยที่
Siam Dermetik’s คลีนิก ที่เวิ้ง Taisin (BTS พระโขนง) หลายๆคนอาจจะ
ยังนึกไม่ออกกัน คลีนิกอยู่เวิ้งเดียวกันกับร้าน Akiyoshi Suki & Shabu ชื่อดัง
สุดแสนอร่อยนั่นเอง
การเดินทางจะค่อนข้างสะดวกเพราะอยู่ในเมือง ติดถนนใหญ่ ที่สำคัญยังมี BTS
ถึงเลยด้วย เดินจาก BTS ประมาณ 5 นาทีก็จะถึงแล้วค่ะ แต่ถ้าใครขับรถไป ก็มีที่จอดรถ
ให้เยอะมาก มีร้านอาหารให้ทานรอด้วย
ซึ่งวันนี้คุณหมอที่จะมาให้คำแนะนำ คำปรึกษา รวมถึงเป็นคนดูแล
รักษาตลอดเคสนี้ก็คือคุณหมอโอ๊ค สมิทธิ์ ที่ทุกคนรู้จัก ชื่นชอบ
และปลื้มกันอยู่แล้วนะคะ ขอบอกว่าตัวจริงคุณหมอหล่อมาก ดูดีมาก ผิวเนียนมาก
ที่สำคัญคุณหมอให้ความรู้ได้ดีมากค่ะ เพราะนอก
จากความรู้ที่คุณหมอให้แล้ว เวลาถามอะไรไปเพิ่ม
คุณหมอก็จะเต็มใจให้คำปรึกษาอย่างเต็มที่เลย
ซึ่ง Siam Dermatik’s เป็นของคุณหมอค่ะ เปิดมาสิบปีได้แล้ว
(โดยจะมีอีกสาขาคือที่สยาม) แต่สาขาที่สุขุมวิทจะเน้นความเป็นส่วนตัวหน่อย
ดังนั้นหากจะเข้าไปรับบริการ แนะนำว่าควรโทรนัด
ล่วงหน้าก่อน เพื่อความสะดวก และรวดเร็วค่ะ ไม่อย่างนั้นถ้า walk-in
เข้าไปเลย อาจจะต้องรอนาน หรือคุณหมอคิวเต็ม เพราะว่าติสเคสลูกค้าคนอื่นอยู่
มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ ..
วันนี้ออนมาทำ “โบท็อกซ์” นั่นเอง ซึ่งก่อนที่จะกล่าวเรื่องอื่นๆ ออน
อยากจะพูดก่อนว่า การทำศัลยกรรม หรือการทำสวยต่างๆ
(โบท็อกซ์, filler, ผ่านั่น, ตัดนี่, ดูดโน่น) ก่อนการทำ เราควรหาข้อมูล
ให้ดีก่อน เพื่อความปลอดภัยในตัวของเราเอง ไม่ควรมองแต่ว่า
“ที่ไหนราคาถูกสุด” แล้วก็เลือกทำที่นั่น
เพราะเดี๋ยวนี้มีข่าวเรื่องของปลอมกันเข้ามาเยอะ รวมถึงบุคคลที่ทำนั้นยังไม่
มีประสิทธิภาพพอ อาจจะทำให้เกิดอันตราย หรือผลค้างเคียงทีหลังได้
ดังนั้นควรศึกษาหาคลีนิก/โรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ
มีความปลอดภัย มีเครื่องมือที่สะอาด และที่สำคัญคือคุณหมอหรือ
แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆที่สามารถเกิดขึ้นได้ค่ะ
เรื่องนี้สำคัญมาก อยากให้อ่านกัน บางทีจ่ายแพงกว่า
แต่ได้ความปลอดภัย ความสบายใจ มันคุ้มค่ากว่ากันเยอะค่ะ
ตัวเราเอง เราต้องดูแล ระวังนะคะ
มาเข้าเรื่องกันเลย..
จริงๆแล้วคำว่า “โบท็อกซ์” ที่ฮิตติดปากกันตลอด นั้นมีชื่อเรียกจริงๆว่า
“โบทูลินั่ม ท็อกซิน” เมื่อรวมกันเลยกลายเป็น “โบท็อกซ์” อย่างที่ได้ยินกันค่ะ
ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารลดเลือนริ้วรอยชนิดฉีด
ทาง Siam Dermatik’s ได้เลือกใช้โบท็อกซ์ยี่ห้อ “Dysport” ซึ่งมี
ต้นกำเนิดมาจากอังกฤษตั้งแต่ปี 1986 ซึ่งตอนนี้ได้มีการนำ Dysport มาใช้ในประเทศไทย
และยังไม่มีการทำของปลอม หรือของลอก
เลียนแบบมา ทำให้มั่นใจได้ว่า ของแท้ แน่นอน ไม่ต้องห่วงเรื่องการเจอโบท็อกซ์ปลอมค่ะ
แต่ก่อนการฉีดโบท็อกซ์นั้น จะเน้นเป็นการลดเลือนริ้วรอยอย่างเดียว
แต่เดี๋ยวนี้ทาง Dysport ได้ใช้เทคโนโลยี Dermolift Technique
เป็นวิธีการปรับรูปหน้าเรียวขึ้น แบบธรรมชาติ ไม่แข็ง หรือตึง
จนขยับหน้าไม่ได้ ซึ่ง Dermolift Technique
เป็นเทคโนโลยีที่กำลังฮิตกันมากในประเทศเกาหลีค่ะ
สำหรับข้อดีของโบท็อกซ์ หรือโบทูลินั่ม ท็อกซินยี่ห้อ Dysport นี้ ก็ํคือ
– เป็นยี่ห้อเดียวที่มีขนาด 500 ยูนิต โดยที่ยังไม่มีของปลอม หรือลอกเลียนแบบ
– สามารถใช้ทดแทนยี่ห้ออื่นๆได้ ในประสิทธิภาพที่สูงกว่า และราคาถูกกว่า
– เป็นสินค้าคุณภาพสูงจากประเทศอังกฤษ ผ่านงานวิจัย รวมถึงการรับรองจาก FDA ทั้ง
แถบยุโรป อเมริกา และประเทศไทย ดังนั้นสบายใจได้เรื่องความปลอดภัย
โบทูลินั่มท็อกซิน หรือโบท็อกซ์ สามารถฉีดเพื่อช่วยอะไรได้บ้าง
– ใช้ฉีดรักษาริ้วรอยตามร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้า
– ช่วยลดเหงื่อ เพราะตัวยาจะไปลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาของกลิ่นตัว
– สามารถยกกระชับใบหน้าให้เรียว ได้รูปขึ้นได้
สำหรับออน ออนเป็นคนที่มีกล้ามเนื้อบริเวณกรามเยอะมาก ใบหน้ากลม
ที่สำคัญคือใบหน้าเบี้ยว (หน้าด้านซ้าย กับขวาจะไม่เท่ากันอย่างชัดเจน ทำให้
ออนไม่ค่อยชอบถ่ายรูปตรงๆ ปัญหานี้เกิดจากการที่กล้ามเนื้อบริเวณกรามทำงานไม่
เท่ากันเวลาที่ออนเคี้ยวอาหาร ใบหน้าด้านซ้ายจะเบี้ยวกว่าปกติ)
ออนเลยเลือกที่จะให้คุณหมอกระชับใบหน้าให้ได้รูปมากขึ้น โดยเคสของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
รวมถึงปริมาณยา การฉีดต่างๆ เพราะคุณหมอต้องวิเคราะห์ปัญหาหน้าของแต่ละคนไปเลย อย่าง
ปริมาณการฉีดเข้าไปแต่ละข้างก็จะไม่เท่ากัน เพราะหน้าเบี้ยวไม่เท่ากันค่ะ ดังนั้นต้องดูเฉพาะจุด
ไปเลยว่าด้านนี้ต้องแก้ตรงไหนบ้าง อะไรแบบนี้ค่ะ ไม่ใช่แบบที่ว่ากำหนดฉีดเท่ากันหมด
เนื่องจากออนแต่งหน้ามา ทางคลีนิกจะต้องมาล้างหน้าให้ออนก่อนค่ะ
เพราะก่อนการฉีด จะต้องทำความสะอาดหน้าก่อนทุกครั้ง เพื่อความสะอาด
ป้องกันการติดเชื้อจากสารเคมี หรือสิ่งสกปรกบนใบหน้า ซึ่งออนจะเว้นบริเวณดวงตา
ไว้ เพราะว่าไม่ได้ฉีดอะไรแถวนั้น บวกกับมาสคาร่าเป็นแบบกันน้ำ ทำให้ล้างออกยากค่ะ
หลังจากล้างเสร็จแล้ว ผิวหน้าก็จะสะอาดค่ะ เป็นผิวเปลือยๆ
เพื่อเตรียมขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอนต่อมาคือขั้นตอนของการลงยาชาค่ะ บางทีอาจจะใช้เป็นน้ำแข็งมา
โปะหน้าแล้วฉีดสด แต่สำหรับที่นี่คุณหมอใช้เทคนิคในการฉีดเป็นแบบ
Happy Soft Lift ซึ่งเป็นการฉีดโบท็อกซ์ Dysport เทคนิคใหม่สำหรับใบหน้า
โดยเทคนิคนี้เป็นที่นิยมมากในเกาหลี เพราะว่าช่วยในการกระจายตัวของยาได้
ดีกว่า ทำให้ใบหน้าเข้ารูป ใบหน้าเท่ากันมากกว่า ที่สำคัญอยู่ได้นานกว่าค่ะ โดยเทคนิค
นี้วิธีการของเค้าคือ “การใช้เข็มสกิดเนื้อข้างในเล็กๆ” ไม่ใช่ปักเข็มเฉพาะจุด แล้วฉีดเลย
แต่จะปักเข้าไปแล้วค่อยฉีดสารเป็นจุดเล็กๆ บางๆ ใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้เกิดความ
ยกกระชับจากภายใน ด้วยกลไลที่ทำให้คอลลาเจนหดตัว และคลายกล้ามเนื้อแบบกระจาย
ตัว ไม่ใช่เฉพาะจุด หรือเป็นก้อนๆ ดังนั้นวิธีนี้จะต้องจิ้มกันเยอะหน่อย และแน่นอนว่า
ควรแปะยาชาก่อน โดยแปะยาชาทิ้งไว้ประมาณ 45 นาทีก่อนเริ่มทำ เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์ค่ะ
หลังจากแปะยาชาครบกำหนดแล้ว ก็ล้างยาชาออก และมาถึงขั้นตอนของการ
เตรียมฉีด Dysport ค่ะ คุณหมอจะเข้ามาคุยกับคนไข้ก่อน เพื่อดูรูปหน้า สิ่งที่ต้องแก้ไข
หรือปรับให้เหมาะสมเฉพาะคนไป อย่างออนคุณหมอบอกว่าเนื่องจากคางออนสั้น
ไม่ได้สัดส่วน และมีกล้ามเนื้อตรงกรามเยอะ เลยทำให้หน้าดูบาน บวกกับหน้าด้านซ้าย
กับขวาไม่เท่ากันอย่างชัดเจน ดังนั้นการฉีดจะต้องฉีดด้านนึงเยอะกว่า อีกด้านน้อยกว่า
ส่วนกล้ามเนื้อตรงกรามสามารถแก้ได้บ้าง แต่โดยรวมจะไม่ได้เร็วเว่อร์แบบดารา เพราะ
ออนมีโครงหน้าทรงกลมมาอยู่แล้ว เพียงแต่อยากปรับให้มันกระชับขึ้น ได้รูปขึ้นเท่านั้นค่ะ
ถ้าสังเกตุจากรูปนี้ จะเห็นว่าเนื้อออนตรงคอ กับหน้าจะเยอะมาก
มันเชื่อมกันไปหมด ตรงกรามก็บานออกมา ไม่เรียว ดังนั้นคุณหมอจะเริ่มจาก
ตรงกรามก่อน เพื่อลดกล้ามเนื้อตรงนั้น เวลาที่ฉีดตรงกราม จะต้องกัดฟันไว้ตลอด
เวลาฉีดค่ะ
คุณหมอฉีด Dysport เข้าไปแบบเบามือมาก แล้วค่อยๆเขยิบไปส่วนอื่นๆ
ด้วยการสกิดผิวหนังเบาๆ ตรงนี้จะเจ็บนิดนึง แต่ทนได้ ไม่ได้ถึงขนาดร้อง หรือน้ำตาไหลค่ะ
มันจะเจ็บจี๊ดๆเฉยๆ เหมือนเวลาฉีดยาตามโรงพยาบาลแบบนั้น
เวลาฉีดด้วยวิธีการสกิดผิวหนังแบบนี้ หน้าจะเป็นจุดๆเล็กน้อยแบบในภาพค่ะ
แต่ว่าประมาณ 1 ชั่วโมงจุดๆก็จะหายไปค่ะ สามารถแต่งหน้าทับ และไปข้างนอกต่อได้เลย
ไม่มีอาการบวม แดง หรืออะไรทั้งสิ้นค่ะ
ซึ่งคุณหมอจะเน้นย้ำว่าการฉีด Dysport ด้วยเทคนิค Happy Soft Lift แบบนี้
จะช่วยให้ใบหน้าได้รูป สามารถแก้ไขรูปคิ้วได้ (ด้วยการยกขึ้น) หรือแม้กระทั่งยกหางตา
ที่ดูตกให้ยกขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ดวงตาดูไม่เศร้า นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขรอยย่นจมูก และ
ให้ผลลัพธ์ทีดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่หน้าตึง เหมือนโดนดึงหน้าไว้แบบก่อนๆ
จากในรูปนี้จะเห็นชัดว่าแก้มของออน 2 ข้างจะไม่เท่ากันเลย ทำให้ออนเป็นคน
ไม่ชอบถ่ายรูปหน้าตรง (นี่ยังแอบเอียงเล็กๆ) เพราะเวลาถ่ายหน้าจะเบี้ยว โดยข้างนึง
จะเหลี่ยมกว่าอีกข้าง อีกข้างจะเว้าลงมาเลย สาเหตุเกิดจากการที่เคี้ยวข้างด้านใดด้านนึง
ทำให้การทำงานกล้ามเนื้อมันออกแรงไม่เท่ากันค่ะ ซึ่งการลดหน้า ไม่สามารถทำได้แบบ
การออกกำลังกาย ไม่ใช่ว่าวิ่งแล้วหน้าจะลด หรือกินผัก แทนการกินอาหารอ้วนๆ แล้วหน้าจะ
เรียว มันอาจจะมีบ้างที่หน้าดูเล็กลง ถ้าเลือกกินให้ถูกวิธี แต่ความเบี้ยวก็จะยังเบี้ยวอยู่ค่ะ
ซึ่งหลังจากลองฉีดแล้ว คนเริ่มทักค่ะ ว่าหน้าเรียวขึ้น สวยขึ้น ก็แฮ๊ปปี้เลย
สิ่งที่ึสำคัญที่อยากจะขอบคุณในครั้งนี้คือฝีมือคุณหมอ และ Dysport ค่ะ ที่ทำให้
รู้สึกมั่นใจในการฉีด ว่าสวยขึ้น อย่างปลอดภัยแน่นอน
ดังนั้นหลังจากที่ศึกษา หาข้อมูล ปรึกษาแพทย์แล้ว ออนถึงมั่นใจ และกล้าทำกับ
คุณหมอโอ๊ค ที่ Siam Dermatik’s เพราะคุณหมอคอนเฟิร์มว่าใช้ผลิตภัณฑ์ของ Dysport
ของแท้ ไม่มีปลอม และยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตรวจและยอมรับจาก
FDA ที่ยุโรป อเมริกา และประเทศไทย ทำให้ออนมั่นใจในความปลอดภัยที่สำคัญคุณหมอเป็น
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเทคนิค Happy Soft Lift รวมถึง
Dermolift Technique ที่ต้องใช้เข็มสกิดผิว ต้องอาศัยความมือเบา และความเชี่ยวชาญ
อย่างมากด้วย ทำให้ออนสบายใจหายห่วงค่ะ
การดูแลผิวก่อน และหลังฉีดจะมีคร่าวๆดังนี้ค่ะ
ก่อนฉีด :
– 1 อาทิตย์ก่อนการฉีดโบท็อก ห้ามรับประทานยาแอสไพริน
– ควรหยุดรับประทานวิตามินอี น้ำมันปลา และใบแปะก๊วย เพราะจะทำให้รอยเข็ม
มีเลือดซึม หรือเกิดรอยช้ำหลังฉีดได้ง่าย
– ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หริ่งสิ่งสกปรก (ซึ่งปกติ
พยาบาลจะใช้แอลกอฮอลล์เช็ดซ้ำๆ ตรงบริเวณที่จะฉีดก่อนอีกครั้งอยู่แล้วค่ะ)
หลังฉีด
– ช่วงประมาณ 2 ชั่วโมงแรก ควรเคี้ยวเยอะๆ เพื่อให้ตัวยากระจายตัวได้ดี
– ไม่ควรนวดหน้า กดหน้า อบไอน้ำ หรือโดนความร้อนอะไรช่วง 2 อาทิตย์แรก เพราะ
จะทำให้ประสิทธิภาพของยาเสื่อมลงค่ะ
สำหรับเรื่องราคา
จากที่ออนแจ้งไว้ว่าแต่ละเคสนั้นราคาไม่เท่ากัน เนื่องจากปริมาณการใช้ยา เพื่อแก้
ปัญหาที่ต่างกัน ดังนั้นไม่สามารถระบุเป็นแบบ fixed price ได้ แต่สำหรับราคาคร่าวๆ
ราคาเริ่มต้น 1,800 – 5,000 บาท ต่อจุดที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย หรือปรับยกกระชับทั้งรูปหน้า
ราคาเริ่มต้น 3,000-30,000 จะขึ้นอยู่กับปริมาณยาที่ใช้ ติดต่อได้ตามคลินิก และแผนกผิวหนัง
ตามคลินิคและ ในโรงพยาบาลชั้นนำทั่วไป ถามหา Dysport (ดิสพอต) ผลิตภัณฑ์ของประเทศอังกฤษ
สำหรับใครที่อยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Dysport (โบท็อกซ์) ที่ทาง
Siam Dermatik’s ใช้ฉีดในครั้งนี้ สามารถดูลิ้งค์เพิ่มเติมได้ค่ะ
http://www.dysport.com
http://dysportusa.com/
และในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณคุณหมอโอ๊ค สมิทธิ์ และ Siam Dermatik’s ด้วยค่ะ
สำหรับการดูแล รักษาเคสของออน รวมถึงการบริการที่เป็นกันเอง
วันนี้ก็จบไปเท่านี้นะคะ สำหรับกระทู้นี้ หวังว่าจะพอเป็นแนวทางสำหรับใครที่กำลัง
สนใจอยู่ได้ และสำหรับคนที่มองว่าเรื่องโบท็อกซ์ เป็นสิ่งไม่ดี หรืออะไรก็แล้วแต่ ออนขอ
ยืนยันว่าออนเป็นคนลองเอง ดังนั้นไม่ได้เกี่ยวหรือเดือดร้อนอะไร กับใคร รวมถึงก่อนการ
ตัดสินใจของออน ออนต้องศึกษาข้อมูลทุกอย่างมา เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ไม่ว่าจะ
เป็นเรื่องคุณหมอ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ สถานที่ ความสะอาด เพื่อให้ออนมั่นใจ และสบายใจค่ะ
ดังนั้นคนเราต่างความต้องการ ต่างปัญหา ต่างความคิดกันค่ะ
ไว้เจอกันใหม่นะคะ
สวัสดีค่า